วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ


บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน  วัดท่าซุง

                        ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย  ตอนนี้ขอนำเรื่องราวกรรมเก่าของพระโมคคัลลานะ มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะเห็นว่า  ท่านที่มีบุญใหญ่  คือ  พระโมคคัลลานะ เป็นถึงอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพระสาวกฝ่ายซ้ายที่มีฤทธิ์มาก  ไม่น่าจะถูกคนฆ่าตาย  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ขึ้นชื่อว่าเรื่องกฎของกรรมที่ท่านทั้งหลายชอบบ่นกัน  บอกว่าทำบุญทำทานมามาก ทำไมบุญที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า  ทำดีจะได้รับผลดี  แต่ว่าพวกเรานี้กลับได้รับผลร้าย  ถ้าคิดอย่างนี้ละก็  นึกถึงเรื่องราวของกฎของกรรมเก่า ๆ ที่เล่าสู่กันฟัง  เอาเข้ามาคิด  จงคิดว่า  ชาตินี้เราไม่ได้ทำ  แต่ว่าชาติก่อน ๆ เราอาจจะทำก็ได้  เพราะเราเองก็ทราบไม่ได้เหมือนกันว่า  ชาติก่อน ๆ เราทำอะไรไว้บ้าง
                        ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  คือ การระลึกชาติหนหลังได้  มันก็เป็นของไม่ยาก  แล้วการบำเพ็ญปุพเพนิวาสานุสสติญาณให้ปรากฎนี้  ความจริงมันก็ไม่ยากเหมือนกัน  ทำไมจึงกล่าวว่าไม่ยาก  ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติหนหลัง  ท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับเรียนหนังสือชั้นประถมเท่านั้นเอง  ยังไม่ใช่ใหญ่โตมโหฬารอะไรนัก  แต่ทว่าเรื่องของการปฏิบัติ  บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังกันในเรื่องของการเจริญพระกรรมฐานดีกว่า  ถ้ามีเวลา  จะอธิบายให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า การที่จะได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติได้นั้น  เขาทำกันอย่างไร  เอาไว้ฟังกันในเรื่องของพระกรรมฐาน  นี่เราคุยกันเรื่องของพระสูตร  เล่านิทานสู่กันฟัง  แต่เป็นนิทานเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่นิทานเล่าโกหกกันเล่น  เว้นไว้แต่ว่า ไปหยิบเอาตัวนิทานมาแสดงให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้าไม่ได้  แต่เรื่องขององค์สมเด็จพระจอมไตร  พระองค์ก็ทรงรับรองอยู่แล้ว  องค์สมเด็จพระประทีบแก้วบอกว่า  ถ้าใครไม่เชื่อเชิญมาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติตาม  ฉะนั้น  ขอบัณฑิตทั้งหลายที่ทรงความเป็นบัณฑิต ประเภทไหนก็ช่าง  ถ้าอยากจะรู้ความจริงเรื่องกฎของกรรมเก่า ๆ  ก็ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็จะรู้เรื่องได้ไม่ยากไม่ลำบากอะไร ต่อไปนี้  มาคุยกันถึงเรื่องบุพกรรมของพระมหาโมคคัลลานะ
                        ในสมัยนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้พระมหาโมคคัลลานะและพระสารีบุตรมาเป็นคู่อัครสาวกซ้ายขวา  อัคร  แปลว่า  ผู้เลิศ  พระสารีบุตรเป็นผู้มีปัญญาชั้นเลิศ  ประเสริฐ  ไม่มีใครเสมอเหมือน  นอกจากพระพุทธเจ้า พระมหาโมคคัลลานะก็เช่นเดียวกัน   เรื่องการมีฤทธิ์แล้ว ใครไม่ยิ่งไปกว่าพระมหาโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า  เป็นผู้เลิศเรื่องมีฤทธิ์
                        อาศัยความมีฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระขยัน  เวลากลางคืน ท่านมักจะไปเที่ยวสวรรค์บ้าง  ไปเที่ยวเมืองนรกบ้าง  ไปพบเทวดาก็ดี ไปพบพรหมก็ดี ไปพบสัตว์นรก เปรต อสุรกายก็ตาม  ท่านก็ถามถึงประวัติเดิม  เกิดที่ไหน ใครเป็นพ่อ ใครเป็นแม่ ใครเป็นดี่ ใครเป็นน้อง  ทำความดี ทำความชั่วอะไร จึงมาเกิดในแดนนี้  เมื่อท่านทราบแล้ว  ก็มาถามองค์สมเด็จพระชินสีห์  ให้ประกาศแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
                        เมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ทรางทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า เรื่องนี้พระโมคคัลลานะไม่ได้กุขึ้น  พระพุทธเจ้าเมื่อทราบว่าจริง  ก็ทรงรับรอง  แล้วประกาศให้เขาทราบ  แล้วในสถานที่ใดเป็นที่ยากลำบาก  คนเจริญศรัทธาไม่ดีพอ  พระอื่นมีความสามารถไม่พอ  พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานะไป
                        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะไปถึงแล้ว  ก็แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ  ด้วยความชำนาญในการแสดงฤทธิ์  เป็นการน้อมจิตให้บุคคคลทั้งหลายเหล่านั้นมีความเชื่อถือ  เห็นเป็นอัศจรรย์  แล้วองค์สมเด็จพระภควันต์ก็เสด็จตามไปทีหลัง  ตอนนี้พระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมะโปรดบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้น  ก็พากันบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน
                        เรื่องพระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถเป็นอัจฉริยบุคคล  เลิศกว่าบุคคลอื่น  แม้แต่พวกเดียรถีย์ทั้งหลายก็เศร้าสร้อยหงอยใจ  บรรดาบริษัทบริวารของเดียรถีย์ทั้งหลายพากันมาเคารพในพระพุทธเจ้า  สร้างความยากสร้างความลำบากให้เกิดแก่เดียรถีย์  เพราะเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถไม่พอ และก็ดีไม่จริง   เป็นเหตุให้บริษัทชายหญิงของเขามาติดพระพุทธเจ้ากันเสียเกือบหมด
                        เขาจึงได้พากันพิจารณาว่า  องค์สมเด็จพระบรมสุคตที่มีคนนับถือมาก  มีลาภสักการะมาก  ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลาน์เป็นกำลังสำคัญ  เพราะท่านเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ เที่ยวเมืองนรกบ้าง  เมืองสวรรค์บ้าง  ปลุกใจประชาชนให้มีความเคารพในองค์สมเด็าจพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ
                        เขาจึงคิดกันต่อไปว่า  ถ้าเราจะทำลายองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  คือพระพุทธเจ้า  ทำลายไม่ได้แน่  เพราะคิดทำลายมาหลายวาระแล้ว  เคยใช้นางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้องไปประกาศให้คนทราบว่า  พระพุทธเจ้าทำให้ท้อง  แต่หนูจัญไรกลับไปกัดเอาเชือกที่ผูกไม้ที่แกล้งทำเป็นคนท้องให้ขาดลงมา  เป็นเหตุให้นางจิญจมาณวิกาได้รับโทษลงอเวจีทั้งเป็น
                        แล้วก็พระเทวทัตได้หาทางกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า  สั่งนายขมังธนูยิงบ้าง ปล่อยช้างนาฬาคีรีให้ไล่แทงพระพุทธเจ้าบ้าง  กลิ้งหินให้ทับบ้าง  พระพุทธเจ้าก็ไม่มีอันตราย
                        การที่คิดจะฆ่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นของทำได้ยาก  แต่ว่าถึงกระไรก็ดี  ถ้าตัดแขนขาขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็จะต้องเศร้าไป  แขนขาที่สำคัญขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็คือ พระมหาโมคคัลลานะ ที่มีฤทธิ์มาก และปลูกศรัทธาคนได้ดี
                        บรรดากลุ่มเดียรถีย์ทั้งหลายพร้อมใจกัน  แต่ความจริงเขาประกาศว่า  เขาเป็นพระอรหันต์  แต่กลับมีอารมณ์จิตอิจฉาพระพุทธเจ้า  คิดจะฆ่าสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดูเอาเถิดบรรดาท่านพุทธบริษัท  เขาประกาศตนว่า เขาเป็นคณาจารย์ใหญ่สอนให้บุคคลอื่นทำความดี  แต่ว่าจิตใจของตัวนี้เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน  เพราะอะไร  เพราะสัตว์เดรัจฉานมันยังมีความกตัญญูรู้ความดีของคน  แต่ว่าบรรดาเดียรถีย์หน้ามนพวกนี้  เขาไม่เคยเห็นความดีของพระพุทธเจ้าและพระมหาโมคคัลลานะ  มีอย่างเดียวท่านทั้งหลายเหล่านี้ดีกว่าเขา   เขาต้องคิดทำลาย  สมัยนี้มีบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ  บรรดาท่านพุทธบริษัทที่คณาจารย์ทั้งหลายตั้งสำนักกันขึ้นมา  แต่เห็นว่าสำนักอื่นเขาดีกว่า  มีอารมณ์อิจฉาริษยา  มีหรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ  ถ้าบังเอิญมีก็รู้สึกว่าน่าสลดใจ  แต่เข้าใจว่าไม่มี  แต่ก็ไม่แน่นัก เพราะเคยพบท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง  ท่านตั้งสำนักสมถวิปัสสนาของท่านขึ้นมา  ปรากฎว่าคนอื่นเขาตั้งทีหลัง  ท่านเป็นพระ เป็นพระราชาคณะ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  เห็นว่าคนอื่นเขาดีกว่าตนทนไม่ไหว  แทนที่จะมีมุทิตาในพรหมวิหาร 4  กลับหาทางย่ำยีกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  เป็นที่น่าสงสาร  ปรากฎว่าท่านผู้นี้เมื่อตายลงไป  เวลาก่อนจะตายถูกทุกขเวทนาครอบงำมากต้องทุรนทุรายไค้สติสัมปชัญญะ  ตายแล้วลงอเวจีมหานรก  กฎของกรรมนี้ผ่านมาแล้วไม่นาน
                        ความจริงเรื่องราวในสมัยที่องค์สมเด็จพระพิชิตมากทรงพระชนม์อยู่  ก็มีตัวอย่างมากมาย  ท่านบวชภายหลัง  มีตำรามากเรียนได้ครบ  เรียนจบเป็นมหาเปรียญ  แล้วก็เป็นเจ้าคุณฯ  เป็นเจ้าคณะจังหวัด  ไม่น่าจะประพฤติความชั่วแบบนั้น  แต่ทั้งนี้ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เพราะว่าการปฏิบัติธรรมของท่านนั้น  ไม่ได้เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง  ท่านตั้งสำนักหลอกชายและหญิงเพื่อนำทรัพย์สินไปให้เท่าเท่านั้น  ลูกศิษย์ของท่านอาจจะดีได้  แต่ตัวของท่านเองลงอเวจีมหานรก  ที่พูดอย่างนี้ก็พูดตามสำนักของท่านอาจารย์ใหญ่ท่านหนึ่ง  ซึ่งพวกเรายกย่องกันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ  เมื่อท่านกล่าวขึ้นมาอย่างนั้นก็สร้างความแน่ใจว่า  คงจะเป็นแบบนั้น  เพระาว่าดูจริยาของท่านผู้นั้น  ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
                        บรรดาเดียรถีย์เหล่านั้น  เมื่อฆ่าพระมหาโมคคัลลานะแล้ว  ต่อมาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ไม่ได้ทรงว่าอะไร  และก็กรรมของเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้นคือ โจรที่รับอาสา 500 คนถูกฆ่าหมด  พวกเดียรถีย์ถูกปลดจากความดี  การที่พระมหาโมคคัลลานะถูกฆ่าในคราวนี้  ความจริงท่านทราบก่อน  เพราะมีญาณพิเศษ  ประเดี๋ยวจะมานั่งสงสัยกันว่า มีฤทธิ์ขนาดนั้น มีญาณขนาดนั้น ทำไมไม่หนีพวกโจรที่เข้าไปฆ่าตัวเอง  ความจริงโจรมาล้อมแล้ว 2 ครั้ง ท่านรู้  เมื่อรู้ตัวแล้ว ท่านก็เหาะหนีไป  โจรเข้ามาล้อมครั้งที่ 3  ท่านก็มานั่งพิจารณาว่า  นี่มันเรื่องอะไร  ถอยหลังชาติเข้าไป  ด้วยอำนาจปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ก็ทราบว่ากรรมเก่าของท่านที่ทำไว้แล้วในกาลก่อน
                        เรื่องนี้  องค์สมเด็จพระชินวรเคยเทศน์ให้พระฟัง  เพราะพระท่านมีความสงสัยว่า  พระมหาโมคคัลลานะนี้มีบุญใหญ่  ทำไมจึงได้ถูกโจรทุบตาย  แต่ความจริงระหว่างที่ถูกโจรทุบนั้นท่านไม่ตาย  เขาทุบแล้วก็คิดว่าท่านตาย  กระดูกแหลกเหลวหมด  เขาลากท่านไปทิ้งไว้ที่กอไผ่  เมื่อโจรไปแล้วท่านก็อธิษฐานจิต  ด้วยอำนาจของกำลังฤทธิ์ ประสานกระดูกทั้งหมดให้ติดกัน  แล้วก็เหาะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงธรรม์บมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขอลาเข้าสู่พระนิพพาน  เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงอนุญาตแล้ว จึงได้กราบลาพระประทีปแก้วไปนิพพานในที่สมควร
                        เมื่อพระมหาโมคคัลลานะนิพพานแล้ว  องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงพาพระสงฆ์ทั้งหลายนำอัฐิธาตุของพระมหาโมคคัลลานะ บรรจุเข้าไว้ในสถูปให้เขาสร้างสถูป เป็นที่บรรจุกระดูกไว้  สถูปนั้นก็ทำเหมือนกับบาตรคว่ำ  คือทำดินนูนขึ้นมาเป็นโคก  เป็นสัญญลักษณ์  คนจะได้ไม่เดินข้าม  และท่านกล่าวกฎของกรรมว่า ถอยหลังไปประมาณ 1,000 ชาติ  เรื่องนี้พระมหาโมคคัลลานะก็ทราบตอนโจรมาล้อมครั้งหลังว่า
                        พระมหาโมคคัลลานะเป็นลูกชายของพ่อแม่  ที่ทั้งพ่อและแม่ตาบอดทั้งคู่ โฉมตรูโมคคัลลานะในเวลานั้น  เป็นคนที่ประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณบิดาและมารดา เลี้ยงดูบิดามารดาด้วยดีทุกประการ  เมื่อทำงานกลับมาแล้วก็ต้องมาหุงข้าวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ คนดีอย่างนี้หายาก
                        ต่อมาท่านพ่อท่านแม่เห็นว่าลูกชายลำบาก  ก็อยากจะหาเมียให้จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ  แต่ทว่าพระมหาโมคคัลลานะก็คัดค้านว่า  อย่าเลย  หญิงที่นำมา ดีไม่ดีเขาจะไม่รักพ่อไม่รักแม่ก็เป็นได้  แต่ว่าบิดาและมารดาทั้งสองนั้นไซร้ก็บอกว่า  ไม่เป็นไรลูก จะหาคนที่มีตระกูลเสมอกัน  คือตำแหน่งของท่านก็เป็นเศรษฐี เป็นคนมั่งมีทรัพย์มาก  จึงไปขอหญิงในตระกูลอื่นเข้ามา
                        ในตอนแรก ๆ แม่ลูกสะใภ้คนดี  ก็มีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาของผัวเป็นอย่างดี  แต่ว่าพระมหาโมคคัลลานะท่านมีความรักในพ่อและแม่ท่านมาก  เวลากลับมาจากทำงาน แทนที่จะเข้าไปจู๋จี๋กับเมียก่อน  แต่กลับเข้าไปจู๋จี๋กับพ่อแม่เสียก่อน  เหตุนี้เองเป็นเหตุให้นางเมียไม่พอใจ  คิดจะฆ่าทั้งสองคนเสีย  จึงได้หาอุบายด้วยประการทั้งปวง
                        ในที่สุด  ก็บอกกับพระมหาโมคคัลลานะว่า  บิดามารดาของท่านเป็นคนใจร้าย  หุงข้าวให้กินก็ไม่กิน  แต่ความจริงเวลาที่ทำอาหารให้ผัวมีรสอร่อย  แต่ทำอาหารให้แก่พ่อผัวแม่ผัว  บางทีก็เค็มจัดเกินไป  เผ็ดจัดเกินไป  เปรี้ยวจัดเกินไป  พ่อผัวแม่ผัวกินไม่ไหวก็เลยไม่กิน  นางก็ฟ้องบอกว่า นี่แหละ อาหารมันเหมือนกัน  แต่ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมกิน ท่านลูกชายก็ยังไม่ว่าอะไร
                        ต่อมา   นางในก็เอาใหม่อีก  ทำอาหารรสจัด  ในเมื่อท่านทั้งสองไม่กิน นางก็เทราดไปเต็มบ้าน  เมื่อลูกชายกลับมาก็ฟ้องบอกว่า  ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคนทำอาหารให้ก็ไม่กิน แล้วก็เทราดไปบนบ้านเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด  ฉันปัดกวาดไม่ไหว  เช็ดถูไม่ไหว  อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว  ฉันขอลากลับบ้าน
                        อาศัยที่จอมนงคราญอกตัญญูไม่รู้คุณคน  ทำให้พระโมคคัลลาน์หน้ามนซึ่งเป็นคนกตัญญู รู้คุณ เป็นคนอกตัญญูไป  เพราะการนั่งทูลนอนทูลของเมียสาว  มันก็มีความสำคัญเหมือนกัน  นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ฟังไว้แล้วก็คิดด้วยว่า  ความดีที่เรามีอยู่  เราจงอย่าเชื่อคนอื่น  อย่างไร ๆ ก็สอบสวนให้ดีเสียก่อน  เป็นเหตุให้พระมหาโมคคัลลานะคิดผิดในตอนนั้น  เพราะอาศัยเมียออดอ้อนสนับสนุน  หาทางกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง  จนเห็นว่าบิดามารดาของตนนี้เป็นคนไม่ดี
                        วันหนึ่ง  คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียในป่า  จึงได้บอกกับบิดาและมารดาว่า  ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งป่าทางโน้นเป็นญาติกัน  ความจริงบิดามารดาก็รู้จัก  ท่านสั่งให้ท่านทั้งสองไปเยี่ยมและเวลานี้ท่านก็เตรียมเกวียนไว้แล้ว  จะให้บิดามารดาทั้งสองนั่งไปในเกวียน  ท่านจะเป็นคนบังคับเกวียนไป  เมื่อท่านบิดามารดาทั้งสองได้ฟังก็เห็นใจ  คิดว่าลูกชายของเรานี้เป็นคนดี  จึงให้ลูกชายประคองบิดามารดาทั้งสองศรีนั่งบนเกวียน
                        พอเข้าไปถึงป่าลึก  ท่านพระมหาโมคคัลลาน์คิดจะฆ่าพ่อฆ่าแม่ในป่า  จึงได้บอกกับท่านบิดาว่า  คุณพ่อช่วยจับเชือกบังคับวัวไว้ให้ที  กระผมนี้กำลังปวดอุจจาระ จะไปถ่ายอุจจาระ  ท่านพ่อก็จับเชือกเข้าไว้  บังคับวัวให้เดินตรง
                        ท่านมหาโมคคัลลานะไปแล้ว  ก็ทำเสียงดังเหมือนกับโจรจะเข้ามาปล้น  ท่านพ่อท่านแม่ทั้งสองคนได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย  เข้าใจว่าโจรร้ายมาปล้น  ห่วงลูกชายของตนคือพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นลูกชาย  ท่านทั้งสองจึงได้ร้องประกาศไปว่า  ลูกเอ๋ย พ่อแม่ทั้งสองคนแก่แล้ว  ปล่อยให้พ่อแม่ตายเถิด  ลูกยังมีความเป็นหนุ่มอยู่ หนึเอาตัวรอดไปก่อน  ไม่ต้องห่วงพ่อห่วงแม่
                        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  น้ำใจของบิดามารดาย่อมมีความสำคัญแก่บุตรเพียงนี้  ยอมตายแทนลูก  แต่ว่าลูกคนนี้สิ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  พระโมคคัลลานะเองที่ปลอมมาเป็นโจร  เมื่อพ่อแม่พูดอย่างนั้น  ใจไม่ยักอ่อน  พ่อบังอรใช้ไม้ทุบพ่อและแม่ตายทั้งคู่  เมื่อพ่อโฉมตรูฆ่าพ่อและแม่ตายแล้ว  ก็แจวอ้าวกลับบ้าน
                        องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า  เขาก็ไม่มีความสุข  เพราะกฎของกรรมที่ทำกับบิดามารดา  เมื่อตายแล้วจากชาตินั้น  ต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก  เมื่อตกอเวจีมหานรกสิ้นเวลากัปหนึ่ง  พ้นจากนั้นก็มาเกิดเป็นเปรต  อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร  คือเป็นมนุษย์บ้าง  เทวดาบ้าง  เป็นพรหมบ้าง  เฉพาะเป็นมนุษย์ 1,000 ชาติพอดี ต่อมาก็พบองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  อาศัยบุญเก่าที่เคยบำเพ็ญบารมีร่วมกันมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระศาสดาเป็นสุเมธาบส
                        ตอนนั้น  องค์สมเด็จพระบรมสุคตบูชาพระพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ  ท่านอยู่ในป่า  เมื่ออาราธนาพระพุทธเจ้ามาถึงลำรางเล็ก ๆ  ท่านก็ทอดกายเป็นสะพานให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เดิน  เมื่อมาสู่สำนักของท่านแล้ว ท่านก็ประกาศตนปรารถนาพระโพธิญาณ  ก่อนที่จะถวายอาหารให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์  พระปทุมุตตระจึงได้เข้านิโรธสมาบัติ  พระอรหันต์ทั้งหมดเข้าผลสมาบัติ  สมาบัติทั้งสองนี้มีกำลังมาก เพราะดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศล  เมื่อออกจากสมาบัติทั้งสอง  จะมีการคล่องในกิจการของตน  คือในความเป็นอยู่  ถ้าปรารถนาความร่ำรวย  ก็จะร่ำรวยสมความปรารถนา  ถ้าปรารถนาความสำเร็จมรรคผล  ก็จะสำเร็จมรรคผลสมความปรารถนา เมื่อองค์สมเด็าจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ทรงรับพระกระยาหาร  หลังจากนั้นแล้ว   พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พร  และก็ทรงพยากรณ์ว่า  นับตั้งแต่นี้ไปอีก  91 กัป ท่านสุเมธดาบสจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า  มีพระนามว่าพระสมณโคดม
                        ในขณะนั้นเองพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร  ทั้งสองท่านเป็นสาวกของสุเมธดาบส  จึงได้เข้ามากราบองค์สมเด็จพระบรมสุคตองค์หนึ่งบอกว่า  ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวา  อีกองค์หนึ่งประกาศกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสมณโคดม
                        เป็นอันว่า  อาศัยบุญบารมีที่ติดตามกันมาอย่างนี้  สิ้นเวลา  91  กัป  แต่ความจริงมากกว่านั้น  องค์สมเด็จพระทรงธรรม์จึงกล่าวว่า  มหาโมคคัลลานะชาตินี้มาพบเรา  จึงได้กลายเป็นคนมีฤทธิ์มาก เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  แต่ว่าโมคคัลลานะถึงแม้ว่าจะตาย  ท่านก็ไปนิพพาน  ไม่มีความทุกข์อะไร
                        แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ตรัสแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า ภิกขเวดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอทั้งหลายจงอย่าประมาทในกรรมเล็กน้อยว่าจะไม่ให้ผล  ดูตัวอย่างพระมหาโมคคัลลานะเป็นสำคัญ  ท่านเป็นอริยสงฆ์  เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย  มีฤทธิ์มาก  แต่ก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎของกรรมได้  ขึ้นชื่อว่ากรรมใดที่เราทำไว้แล้ว  ถ้าไม่ให้ผลในชาตินี้  ก็จะให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป
                        ฉะนั้น  ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  ที่เคยบ่นบอกว่าทำบุญให้ทานแล้ว  ก็มีความไม่สบาย  เมื่อฟังเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะแล้วไซร้  ก็โปรดทราบว่า กฎของกรรมเก่าของเราทำไว้มากเพียงใด  เราไม่ทราบ  ฉะนั้น  ถ้ากรรมใดที่มันเกิดขึ้นกับเรา ทำให้เราได้รับความลำบาก  ก็คิดไว้ในใจว่า  เราจะใช้หนี้มัน
                        นี่แหละ  บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมเราหนีไม่พ้น สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะในเรื่องบุพกรรม คือกรรมเก่าไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน  สวัสดี

0 ความคิดเห็น:

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More