ไม่ใช่พระ แต่อาศัยผ้าเหลือง ขออนุญาตใช้ชื่อหัวข้อว่า "พระไม่ดี กับ
สีกาเลว" บางคนอาจให้ชื่อหนักกว่านี้
ไม่ว่ากัน
ผมนี่แหละตัวทำบุญ ไปวัด ใส่บาตรเป็นประจำ ไม่เคยอยากเขียนอะไร
ที่จะหมือนกับการลบหลู่ ไม่เคารพพระภิกษุสงฆ์ แต่ที่เขียนนี้ เพราะเหตุการณ์
หรือคดี พระกับสีกา เกิดขึ้นค่อนข้างถี่ พระก็คือคน สีกาก็คือคน มีอารมณ์
มีรักโลภโกรธหลง ได้เช่นกัน และเกิดเหตุ คดีสำคัญ ๆ ทำให้ศาสนาเรามัวหมอง ถึงเวลาแล้ว ที่พระไม่ดีกระทำผิดวินัยสงฆ์
จะต้องโทษในคดีอาญาอีกด้วย รวมทั้งสีกาที่เข้าไปพัวพันพระที่ดีมีมากกว่า
เหมือนวงการตำรวจ ครับ มีทั้งดี ไม่ดี อย่าให้ไอ้ที่ไม่ดีมีมากกว่า เมื่อใด
เมื่อนั้น สำนักงานตำรวจฯก็เจ๊งทันที....ปกติ ตัวละครเอก
ในเรื่องของอาชญากรรม หรือคดีที่น่าสนใจ จริง ๆ แล้วคงหนีไม่พ้น ครู - พระ - ตำรวจ
/ เป็นความจริง เหมือนกันทุกวงการ มีทั้งคนดี คนไม่ดี สำหรับเรื่องพระภิกษุ
ที่ดีมีมากมาย น่าเลื่อมใส น่ากราบไหว้บูชา แต่ก็มีคนบางคน เข้ามาในวงการสงฆ์
ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย ปี ๆ หนึ่งมีพระภิกษุสงฆ์จำนวนมากแหกศีลห้า
บางข้อก็เล็กน้อย มึนเมา โกหก ตบยุง
ศีลขาดต่อศีลกันได้ จึงไม่แปลกอะไร ถ้าพบเห็นพระขับรถยนต์ ขี่จักรยานยนต์
เปิดเพลง เต้นร้องเพลง ดูซีดีลามก พระตุ๊ดพระแต๋ว เล่นเน็ทแช๊ท เดินห้างช๊อปปิ้ง
และไปไหนมาไหนกับสุภาพสตรียามวิกาล รวมทั้งเข้าไปในที่อโคจร ฯลฯ....บางเรื่อง นอกจากศีลขาดแล้ว ชะตายังขาดอีกด้วย
ไม่ว่าจะเรื่องชู้สาวเมียชาวบ้าน ฆาตกรรม ยาบ้า ฯลฯ เรื่อง พระกับสีกา
มีมาแต่โบราณแล้วครับ เสมือนขั้วไฟฟ้า + บวก - ลบ เจอกันเมื่อไหร่ ไฟลัดวงจรแน่
ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ แต่ก่อนในวัดมักจะปรากฎข่าวคราวแบบนี้เกิดขึ้นกับชีมากกว่า
แต่ปัจจุบันไม่ใช่เสียแล้ว ลามปามออกมานอกวัด
ในเรื่องที่สื่อมวลชนลงข่าวพระมั่วสีกา ตำรวจ หรือชาวบ้านจับกุมได้คาหนังคาเขา
ปรากฎรูปภาพถ่าย ผมจึงโทษทั้ง พระไม่ดี และสีกาเลว สีกาก็รู้อยู่เต็มอกว่าคู่นอนคือพระที่ต้องเคารพกราบไหว้
ศีรษะก็ยังโกนโล้นอยู่ ทำได้ไง? แต่ก็ยังเต็มใจมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย
มันน่าละอายใจแทน ครับ....ผมจึงรวบรวมเรื่องต่าง ๆ
เกี่บกับพระที่ประพฤติปฎิบัติตนไม่ดีมาไว้เป็นกรณีศึกษา....เชิญอ่านไป เรื่อย ๆ ครับ
ู
วันที่
16
ม.ค. 53 ร.ต.ท.ศิวกร จันทเมนชัย ร้อยเวรสอบสวน
สภ.บ้านโพธิ์ รับแจ้งเหตุพระสงฆ์ถูกยิงมรณภาพคาผ้าเหลือง บริเวณบ้านเลขที่ 100/2 ม.1
ต.แหลมประดู่ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา จึงรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น
แล้วพร้อมด้วยพล.ต.ต. มณฑล มีอนันต์ ผบก.ภ.จ.ฉะเชิงเทรา พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ แป้นสุวรรณ
รักษาการ ผกก.สภ.บ้านโพธิ์ และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว
บริเวณหน้าบ้านมีรถเก๋งโตโยต้าสีน้ำเงิน ทะเบียน กค 496
ฉะเชิงเทรา จอดอยู่โดยเปิดไฟหน้าทิ้งไว้
กระจกหน้ารถถูกยิงด้วยปืนลูกซองเป็นรูขนาดใหญ่ ที่นั่งคนขับพบศพ พระสนมสิงห์ท้าย
อายุ 47 ปี
รองเจ้าอาวาสวัดแหลมประดู่ใหม่ ต.แหลมประดู่ อ.บ้านโพธิ์
มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนลูกซองเบอร์ 12 ที่หน้าอกขวา 1 นัด รวม 12 รูสอบสวน
นางลัดดา พุทธรัตน์ อายุ 43 ปี เจ้าของบ้าน
ให้การว่าดูโทรทัศน์กับลูกชายอายุ 18 ปี และ ลูกสาวอายุ 14 ปี
อยู่ในบ้าน 3 คน
ส่วนนายประเทือง พุทธรัตน์อายุ 45 ปี สามี ออกไปเฝ้าบ่อกุ้ง ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิ
โลเมตร โดยนำเอาปืนลูกซองสั้นติดตัวไปด้วย
ช่วงเกิดเหตุได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามาจอด จากนั้น มีเสียงปืนดังขึ้น 1
นัด จึงได้รีบออกมาดูพบว่าพระสนมถูกยิงมรณภาพแล้ว ซึ่งรู้จักนับถือกันเป็นอย่างดี
นานๆ จะมาหาตนที่บ้าน โดยปกติพระสนม จะมาที่บ้านช่วงกลางวันเท่านั้น
และเพิ่งจะมาช่วงกลางคืนในวันเกิดเหตุ ส่วนสาเหตุไม่ทราบ
ทั้งนี้
จากแนวทางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของนางลัดดา
ขณะเดียวกันหลังจากเกิดเหตุไปติดตามตัวนายประเทืองที่บ่อกุ้ง แต่ไม่พบ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า
นายประเทืองอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุครั้งนี้
ด้าน
พล.ต.ต.มณฑล กล่าวว่า สันนิษฐานสาเหตุอาจเกิดจากเรื่องชู้สาว
เนื่องจากพระสนมจะมาหานางลัดดาที่บ้านเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม
ผู้ตายเป็นพระไม่สมควรขับรถออกจากวัดเพียงลำพัง
โดยเฉพาะเข้ามายังบ้านของอุบาสิกาในยามวิกาล
ส่วนคนร้ายเชื่อว่าเป็นคนไม่ไกลตัวเจ้าของบ้านมากนัก
และคิดว่าผู้ตายอาจรู้ตัวดีจะถูกปองร้าย จึงพกเครื่องรางของขลังติดตัวจำนวนมาก
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่จะติดตามตัวนายประเทืองมาสอบสวนในฐานะเป็นผู้ต้องสงสัย
โดยจะเร่งสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไปอันนี้ทำถูกต้อง
ครับ
อดีตพระดังเปิดใจพบรักกับเจ้าสาวซึ่งเป็นอดีตนางงามสมัยที่ยังบวชเป็นพระ
ช่วยรักษาโรคให้ฝ่ายหญิงด้วยสมุนไพรจนหาย แล้วแนะนำให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นประจำ
ประทับใจฝ่ายหญิงจนตัดสินใจสละผ้าเหลืองเมื่อช่วงปีใหม่ ขอฝ่ายหญิงวิวาห์
มีสินสอดเป็นบ้านสีชมพูราคา 1.3 ล้าน เก๋งวีออสป้ายแดงอีกคัน
เจ้าสาววัยดึกเผยประทับใจเจ้าบ่าวเสมอต้นเสมอปลายเมื่อเวลา 11.00 น.
วันที่ 9
ม.ค. ที่ศาลาเจริญศรี บ้านหนองไผ่พัฒนา หมู่ที่ 10 ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง นครราชสีมา
มีพิธีแต่งงานระหว่างนายเวชยันต์ รุมพล อายุ 71 ปี
หรืออดีตพระนักเทศน์ชื่อดังแห่งวัดปอแดง ต.ภูหลวง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
กับนางเตือนใจ กองทรัพย์ อายุ 69 ปี อดีตนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอดีตนางงามวัดบึง
อ.เมืองนครราชสีมา อยู่บ้านเลขที่ 177 หมู่ 10 บ้านหนองไผ่พัฒนา ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง
นครราชสีมา โดยพิธีแต่งงานมีการจัดเลี้ยงอาหารแบบโต๊ะจีนรวม 45
โต๊ะ โดยพ.ท.พิเชษฐ์ แข็งขัน อดีตนายทหารสังกัดค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2
และนายโพธิ์ทอง ไกรอ่ำ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลโพธิ์กลาง เป็นประธาน
ท่ามกลางแขกที่มาร่วมงานประมาณ 400 คนนายเวชยันต์ เปิดเผยว่า
เรียนจบการช่างนครราชสีมา หรือวิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมาในปัจจจุบัน
บวชเป็นพระเมื่อวันที่ 29 มี.ค.30 และจำวัดที่วัดซับก้านเหลือง ต.คร
บุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา เป็นเวลา 12 ปี จากนั้นย้ายมาจำพรรษาที่วัดปอแดง
ต.ภูหลวง อ.ปักธงชัย อีก 11 ปี
เคยเป็นพระนักเทศน์และเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมและเป็นพระธรรมทายาท รุ่นที่ 11
ของวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามพระอาจารย์เวช ต่อมาพบกับนางเตือนใจ
หรือน้องนิด ครั้งแรก เมื่อปี 2539 ที่บ้านหนองไผ่พัฒนา ต.โพธิ์กลาง
ขณะที่บวชเป็นพระและเดินทางมาเยี่ยมพี่สาวที่ป่วยเป็นเบาหวาน
โดยตนจอดรถที่หน้าบ้านของน้องนิดและสอบถามบ้านพี่สาวจนเกิดความประทับในไมตรีจิต
ขณะเดียวกันตนมีความสามารถทางการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยสมุนไพรจากที่เคยเล่าเรียนมาครั้งยังบวชอยู่
จึงได้รักษาให้กับน้องนิดที่มีโรคประจำตัวหลายโรคและรักษาติดต่อกันหลายปีจนหายเป็นปกตินายเวชยันต์กล่าวต่อว่า
หลังจากหายดีแล้ว น้องนิดได้ถามว่าต้องการที่จะให้ช่วยเหลืออะไร
จึงแนะนำให้น้องนิดไปทำบุญและนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดปอแดงที่ตนจำวัดอยู่
และน้องนิดก็ได้ปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำเป็นประจำ
จึงเกิดความประทับใจในเรื่องของความซื่อสัตย์ที่ไม่ได้ไปข้องแวะหรือสนใจผู้ชายคนอื่นทั้งๆ
ที่เลิกรากับสามีเก่าที่เป็นถึงระดับนายทหารมาหลายปีแล้ว
หลังจากนั้นตนจึงตัดสินใจลาสิกขาบทเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา
เพื่อมาขอน้องนิดแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีไทย
โดยมีสินสอดเป็นบ้านชั้นเดียวสีชมพูพร้อมที่ดินราคา 1.3
ล้านบาท และรถยนต์เก๋งโตโยต้ารุ่น วีออส สีบรอนซ์ ป้ายแดง ราคา 7
แสนบาทอีก 1
คัน ส่วนที่เลือกแต่งในวันเสาร์ที่ 9 ม.ค.ซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติ เพราะเป็นวันดีในทางโหราศาสตร์และเป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดีด้านนางเตือนใจ
เปิดเผยว่า ประทับใจในตัวของเจ้าบ่าวเพราะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว เสมอต้นเสมอปลาย
และเชื่อว่าจะเป็นผู้นำครอบครัวและดูแลตนได้ในบั้นปลายชีวิตเพราะตนมีโรคประจำตัว
ส่วนลูกๆ ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวหมดแล้ว โดยหลังแต่ง
งานจะไปฮันนีมูนกันที่หาดจอมทอง อ.เสิง สาง จ.นครราชสีมา
และไม่คิดจะมีบุตรเพราะอายุมากแล้ว
ตนเองไม่แคร์ว่าชาวบ้านจะนินทาที่แต่งงานในวัยสูงอายุเพราะเราทำตามประเพณีถูกต้อง
เพราะอยู่คนเดียวก็เหงาไม่มีใครคอยดูแลเวลาเจ็บป่วย
แต่งงานแล้วสบายใจก็แต่งและไม่ต้องการอะไรจากเจ้าบ่าวเพราะตนก็มีหมดแล้วตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้
112
ก.พ.2552 ตำรวจ สภ.เมืองน่าน
รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีพระภิกษุแอบพาสีกาไปเสพสุข ภายในห้องพักหมายเลข 207 โรงแรมน่านฟ้า ซึ่งเป็นโรงแรมดังตั้งอยู่กลางเมืองน่าน
พ.ต.ท.สมศักดิ์ ผิวสลิด สว.สส.สภ.เมืองน่าน ร.ต.ท.พิชัย บังเมฆ รอง สว.สส.ฯ
จึงนำกำลังไปตรวจสอบทันทีเมื่อไปถึงก็พบว่าเป็นเรื่องจริง
ตำรวจจึงวางแผนให้แม่บ้านไปเคาะประตูทำทีส่งอาหาร ระหว่างนั้นได้มีชายศีรษะโล้น
นุ่งผ้าเช็ดตัวสีขาวแง้มประตูออกมา เจ้าหน้าที่จึงผลักประตูเข้าไป
ภาพที่เห็นสุดอนาถใจ เมื่อพบหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ใต้ผ้า ห่มมีจีวรวางพาดไว้
เมื่อทั้งคู่เห็นตำรวจก็ตาเหลือกยิ่งกว่าเห็นผี พยายามวิ่งกระโจนหลบหนีไปทันที
แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้เพราะห้องแคบแค่นี้ โดยฝ่ายหญิงได้เข้าไปแอบในห้องน้ำ
ล็อกประตูไว้อย่างแน่นหนา ไม่ยอมเปิดแม้ตำรวจจะพยายามเจรจาให้ออกมาแต่โดยดีทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเจรจาอยู่พักใหญ่
เธอจึงยอมเปิดประตูออกมา แต่ก็ยังไม่วายที่จะพยายามวิ่งหนี
ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องไล่จับกันอย่างชุลมุนอยู่พักใหญ่จึงควบคุมตัวทั้งคู่ไว้ได้งานนี้ตำรวจไม่มีข้อหาอะไรจะดำเนินคดีกับคนทั้งสอง
เนื่องจากฝ่ายหญิงมีอายุ 27 ปีแล้ว และก็ไม่ได้มีการค้าประเวณีแต่อย่างใด
โดยฝ่ายหญิงให้การว่า เป็นเด็กอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองน่าน
ที่ยอมมากับพระเพราะพระบอกจะให้เงินใช้ เลยยอมมาเพราะอยากได้เงิน ซึ่งหลวงพ่อให้เงินไว้ใช้
4 พันบาทหลังจากนั้นตำรวจจึงปล่อยตัวไป
พร้อมว่ากล่าวตักเตือนส่วนพระก็โดนสึกตามระเบียบทางด้านโล้นแสบ
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานใบสุทธิที่พกติดตัวไว้ ทราบชื่อคือพระบุญตัน เขยตุ้ย
บวชมาแล้ว 28
พรรษา เป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ไทร ต.ยม อ.ท่าวังผา จ.น่าน และยังเป็นเลขาฯ
เจ้าคณะตำบลยมอีกด้วย จึงอายัดตัวไว้ เพราะถึงแม้ไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดวินัยสงฆ์ขั้นร้ายแรงจึงนำตัวมา
สอบสวนที่โรงพักเมืองน่านพระบุญตันให้การว่า
ขณะบวชอยู่วัดเป็นผู้ที่มีความสนใจเรื่องเทคโนโลยี จนมีความชำนาญด้านคอมพิวเตอร์
ชอบเล่นแช็ตคุยกับสาวๆ ทางอินเตอร์เน็ต โดยรู้จักและติดต่อกันทางโทรศัพท์
และส่งเอสเอ็มเอสหากันบ่อยๆ จนได้รู้จักกับหญิงสาวคนดังกล่าวซึ่งเป็นชาว
อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน ทำงานอยู่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง
จากนั้นได้แช็ตและโทรศัพท์จีบกันเรื่อยมา จนกระทั่งเช้าวันนี้ได้นัดหมายหญิงสาวมาที่โรงแรมดังกล่าว
โดยได้กดเงินจากตู้เอทีเอ็มให้หญิงสาว 4,000 บาท
ก่อนจะมีความสัมพันธ์ทางเพศร่วมกันจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วที่นอนรอเวลาเพื่อจะต่ออีกรอบ
ก็มีตำรวจมาจับกุมดังกล่าว
tyle� u o b �� size:20.0pt; line-height:115%'>11 ปี เคยเป็นพระนักเทศน์และเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมและเป็นพระธรรมทายาท รุ่นที่ 11 ของวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามพระอาจารย์เวช ต่อมาพบกับนางเตือนใจ หรือน้องนิด ครั้งแรก เมื่อปี 2539 ที่บ้านหนองไผ่พัฒนา ต.โพธิ์กลาง ขณะที่บวชเป็นพระและเดินทางมาเยี่ยมพี่สาวที่ป่วยเป็นเบาหวาน โดยตนจอดรถที่หน้าบ้านของน้องนิดและสอบถามบ้านพี่สาวจนเกิดความประทับในไมตรีจิต ขณะเดียวกันตนมีความสามารถทางการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยสมุนไพรจากที่เคยเล่าเรียนมาครั้งยังบวชอยู่ จึงได้รักษาให้กับน้องนิดที่มีโรคประจำตัวหลายโรคและรักษาติดต่อกันหลายปีจนหายเป็นปกตินายเวชยันต์กล่าวต่อว่า หลังจากหายดีแล้ว น้องนิดได้ถามว่าต้องการที่จะให้ช่วยเหลืออะไร จึงแนะนำให้น้องนิดไปทำบุญและนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดปอแดงที่ตนจำวัดอยู่ และน้องนิดก็ได้ปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำเป็นประจำ จึงเกิดความประทับใจในเรื่องของความซื่อสัตย์ที่ไม่ได้ไปข้องแวะหรือสนใจผู้ชายคนอื่นทั้งๆ ที่เลิกรากับสามีเก่าที่เป็นถึงระดับนายทหารมาหลายปีแล้ว หลังจากนั้นตนจึงตัดสินใจลาสิกขาบทเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อมาขอน้องนิดแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีไทย โดยมีสินสอดเป็นบ้านชั้นเดียวสีชมพูพร้อมที่ดินราคา 1.3 ล้านบาท และรถยนต์เก๋งโตโยต้ารุ่น วีออส สีบรอนซ์ ป้ายแดง ราคา 7 แสนบาทอีก 1 คัน ส่วนที่เลือกแต่งในวันเสาร์ที่ 9 ม.ค.ซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติ เพราะเป็นวันดีในทางโหราศาสตร์และเป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดีด้านนางเตือนใจ เปิดเผยว่า ประทับใจในตัวของเจ้าบ่าวเพราะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว เสมอต้นเสมอปลาย และเชื่อว่าจะเป็นผู้นำครอบครัวและดูแลตนได้ในบั้นปลายชีวิตเพราะตนมีโรคประจำตัว ส่วนลูกๆ ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวหมดแล้ว โดยหลังแต่ง งานจะไปฮันนีมูนกันที่หาดจอมทอง อ.เสิง สาง จ.นครราชสีมา และไม่คิดจะมีบุตรเพราะอายุมากแล้ว ตนเองไม่แคร์ว่าชาวบ้านจะนินทาที่แต่งงานในวัยสูงอายุเพราะเราทำตามประเพณีถูกต้อง เพราะอยู่คนเดียวก็เหงาไม่มีใครคอยดูแลเวลาเจ็บป่วย แต่งงานแล้วสบายใจก็แต่งและไม่ต้องการอะไรจากเจ้าบ่าวเพราะตนก็มีหมดแล้วตายไปก็เอาอะไร
tyle� u o b �� size:20.0pt; line-height:115%'>11 ปี เคยเป็นพระนักเทศน์และเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมและเป็นพระธรรมทายาท รุ่นที่ 11 ของวัดชลประทานรังสฤษฏ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามพระอาจารย์เวช ต่อมาพบกับนางเตือนใจ หรือน้องนิด ครั้งแรก เมื่อปี 2539 ที่บ้านหนองไผ่พัฒนา ต.โพธิ์กลาง ขณะที่บวชเป็นพระและเดินทางมาเยี่ยมพี่สาวที่ป่วยเป็นเบาหวาน โดยตนจอดรถที่หน้าบ้านของน้องนิดและสอบถามบ้านพี่สาวจนเกิดความประทับในไมตรีจิต ขณะเดียวกันตนมีความสามารถทางการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วยสมุนไพรจากที่เคยเล่าเรียนมาครั้งยังบวชอยู่ จึงได้รักษาให้กับน้องนิดที่มีโรคประจำตัวหลายโรคและรักษาติดต่อกันหลายปีจนหายเป็นปกตินายเวชยันต์กล่าวต่อว่า หลังจากหายดีแล้ว น้องนิดได้ถามว่าต้องการที่จะให้ช่วยเหลืออะไร จึงแนะนำให้น้องนิดไปทำบุญและนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่วัดปอแดงที่ตนจำวัดอยู่ และน้องนิดก็ได้ปฏิบัติธรรมตามคำแนะนำเป็นประจำ จึงเกิดความประทับใจในเรื่องของความซื่อสัตย์ที่ไม่ได้ไปข้องแวะหรือสนใจผู้ชายคนอื่นทั้งๆ ที่เลิกรากับสามีเก่าที่เป็นถึงระดับนายทหารมาหลายปีแล้ว หลังจากนั้นตนจึงตัดสินใจลาสิกขาบทเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อมาขอน้องนิดแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีไทย โดยมีสินสอดเป็นบ้านชั้นเดียวสีชมพูพร้อมที่ดินราคา 1.3 ล้านบาท และรถยนต์เก๋งโตโยต้ารุ่น วีออส สีบรอนซ์ ป้ายแดง ราคา 7 แสนบาทอีก 1 คัน ส่วนที่เลือกแต่งในวันเสาร์ที่ 9 ม.ค.ซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติ เพราะเป็นวันดีในทางโหราศาสตร์และเป็นโอกาสที่เหมาะสมพอดีด้านนางเตือนใจ เปิดเผยว่า ประทับใจในตัวของเจ้าบ่าวเพราะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว เสมอต้นเสมอปลาย และเชื่อว่าจะเป็นผู้นำครอบครัวและดูแลตนได้ในบั้นปลายชีวิตเพราะตนมีโรคประจำตัว ส่วนลูกๆ ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวหมดแล้ว โดยหลังแต่ง งานจะไปฮันนีมูนกันที่หาดจอมทอง อ.เสิง สาง จ.นครราชสีมา และไม่คิดจะมีบุตรเพราะอายุมากแล้ว ตนเองไม่แคร์ว่าชาวบ้านจะนินทาที่แต่งงานในวัยสูงอายุเพราะเราทำตามประเพณีถูกต้อง เพราะอยู่คนเดียวก็เหงาไม่มีใครคอยดูแลเวลาเจ็บป่วย แต่งงานแล้วสบายใจก็แต่งและไม่ต้องการอะไรจากเจ้าบ่าวเพราะตนก็มีหมดแล้วตายไปก็เอาอะไร
................
ฃ
เมื่อ
เวลา 10.00 น.
วันที่ 21
ม.ค. นายชีวิน ปิยะทัศน์ศรี ส.อบจ.พระนครศรีอยุธยา เขต อ.อุทัย
เข้ายื่นหลักทรัพย์จำนวน 30,000 บาท ต่อ ร.ต.อ.พุฒิพงศ์ อินธาระ
พนักงานสอบสวน สภ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขอประกันตัวนางบุญธรรม ทรัพย์เย็น
อายุ 42 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 33/3 ม.8
ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย หลังถูกตำรวจจับกุม ในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็น
เหตุอันตรายแก่ร่างกาย โดยนางบุญธรรมใช้ไม้กระบองยาว 1
ฟุต ตีหัวพระประทวน ชัยมี อายุ 57 ปี พระลูกวัดวัดสามบัณฑิต จนบาดเจ็บ เหตุ
เกิดเมื่อวันที่ 19
ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 20.00 น. ภายในบ้านเลขที่ 33/2 ม.8
ต.สามบัณฑิต ของนางบุญธรรมเอง หลังตรวจสอบเอกสารเจ้าหน้า
ที่ตำรวจอนุญาตให้ประกันตัวออกไปนาง บุญธรรมเปิดเผยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
ช่วงเวลา 20.00 น.
วันที่ 19
ม.ค.ที่ผ่านมา พระประทวนเดินออกมาจากวัด เพื่อมาซื้อบุหรี่ที่ร้านค้าริมถนน
ข้างบ้านตนและพี่สาวที่ปลูกติดกัน โดยลูกสาวชื่อ ด.ญ.เปิ้ล (นามสมมติ) อายุ 12 ปี
นอนเล่นอยู่ในบ้านของพี่สาวเพียงลำพัง
ระหว่างนั้นมีคนมาบอกว่าเห็นพระประทวนเดินเข้าไปในบ้านของพี่สาว ตนตกใจมาก
เพราะไม่ไว้ใจพระประทวนอยู่แล้ว เนื่องจากเมื่อประ มาณ 1
เดือนที่ผ่านมาพระประทวนเคยเข้ามาลวนลามลูกสาวและหลานสาว ด้วยการชวน ไปร่วมเพศ
แต่ลูกสาวไม่ยอมเล่นด้วย พระประ ทวนจึงสำเร็จความใคร่ต่อหน้าลูกสาว
ทำให้ชาวบ้านที่รู้พฤติกรรมต่างไม่พอใจ
พยายามขับไล่พระรูปนี้ให้ออกไปจำพรรษาที่อื่นนางบุญธรรมกล่าวว่า
พอมีคนแจ้งว่าเห็นพระประทวนบุกบ้านพี่สาว ตนจึงรีบวิ่งตามเข้าไป
พบว่าพระประทวนถอดจีวรออกหมดแล้ว กำลังสำเร็จความใคร่ต่อหน้าด.ญ.เปิ้ล
ตนสุดทนจึงกระโดดเตะพระประทวนเข้าที่ปลายคาง แล้วคว้ากระบองตีเข้าที่หัวพระประทวน 3
ครั้ง จนหัวแตกเลือดอาบใบหน้า วิ่งหนีออกมาอยู่ข้างถนน ชาวบ้านผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงช่วยเหลือพระประทวนนำส่งร.พ.อุทัย
ส่วนตนไม่หนีไปไหน รอมอบตัวกับตำรวจที่บ้านเกิดเหตุ
ที่ตนทำไปก็เพื่อปกป้องลูกสาวเท่านั้นทางด้านด.ญ.เปิ้ลกล่าวว่า
เมื่อเดือนที่แล้วพระรูปนี้เคยเข้ามาลวนลามตน แต่ร้องให้ช่วยจนรอดมาได้
มาครั้งนี้พระรูปเดิมเข้ามาหาอีก พร้อมยื่นข้อเสนอว่าขอร่วมเพศ จะให้เงิน 200
บาทเป็นค่าตอบแทน ตนจึงร้องโวยวาย แล้วแม่ก็เข้ามาช่วยได้ทันเวลาจาก
นั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่ ร.พ.อุทัย
พบว่าพระประทวนยังนอนพักรักษาตัวอยู่ เนื่องจากอาการสาหัส หัวแตกเป็นแผลยาว
ต้องเย็บถึง 30
เข็ม พระประทวนเล่าว่า ตนเองบวชเป็นพระมานาน 20 พรรษาแล้ว เดิมจำพรรษาที่วัดบ้านเกิด
ต.ป่าพุทรา อ.ขาณุวร ลักษบุรี จ.กำแพงเพชร
เพิ่งจะย้ายมาจำพรรษาที่วัดสามบัณฑิตได้เพียง 1 พรรษาเท่านั้น เหตุ
การณ์ที่เกิดขึ้นไม่ขอพูดอะไร เพราะจำอะไรไม่ได้ ยังปวดหัวอยู่มาก จำได้แค่ว่าเดินออกมาจากวัดเพื่อมาซื้อบุหรี่ที่ร้านค้าริมถนน
มีคนมาขอ เงิน แต่ไม่ได้ให้ไป จากนั้นโดนตีที่หัวหลายครั้ง จนสลบไป
มารู้สึกตัวตอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว“อาตมาเองไม่อยากเอาความอะไรกับ แม่ของ เด็ก
ไม่อยากอยู่ที่ชุมชนนี้แล้ว หากหมอให้กลับบ้านออกจากโรงพยาบาลเมื่อใดจะย้ายกลับวัดบ้านเกิดทันที” พระประทวนกล่าวขณะที่ญาติที่มาเฝ้าไข้
กล่าวว่า ไม่เชื่อพระประทวนจะมีนิสัยแบบที่คู่กรณีกล่าวอ้าง
เพราะพระประทวนบวชมานาน หากมีใครมาขอยืมเงินก็จะให้จนไม่เหลือเงินติดย่ามแล้ว
อีกอย่างพระก็แก่แล้ว จะไปทำอะไรอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง คงไม่จริงด้าน
พ.ต.ท.ธีระยุทธ์ ทองสาริ รอง ผกก. สอบสวน สภ.อุทัย กล่าวว่า
สำหรับคดีทำร้ายพระนั้นต้องว่าไปตามกฎหมาย
แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถสอบปากคำพระประทวนได้ เพราะยังบาดเจ็บสาหัส
และจะต้องเรียกคู่กรณีมาสอบปากคำต่อไป
............
เมื่อ เวลา 18.40 น.วันที่ 23
ม.ค.53
พ.ต.ท. ภุชงค์ ศรีวิสิฐศักดิ์ สารวัตรเวรสภ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดในรถเก๋งมีคนเสียชีวิต 2 ศพ เหตุเกิดหน้าานเลขที่ 28/1
หมู่ 4
ต.ดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น
จากนั้นรุดไปตรวจพร้อมด้วยพล.ต.ต.ชาติชาย แตงเอี่ยม ผบก.ภ.จว.ลพบุรี พ.ต.อ.สมบูรณ์
สุทธิวงษ์ ผกก. พ.ต.ท.พรชัย ไข่สนอง รองผกก. สส.ภ.จว.ลพบุรี พ.ต.ท.ศราวุธ วรรณวิไล
รองผกก.ป. แพทย์เวร รพ.พัฒนานิคม และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูจุดพัฒนานิคมที่เกิดเหตุพบรถเก๋งนิ
สสัน รุ่นทิด้า สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน กฉ-4920 ลพบุรี
จอดอยู่หน้าบ้านในสภาพถูกแรงระเบิดเป็นรูพรุนทั้งคัน
กระจกหน้าหลังและกระจกข้างแตกละเอียดทั้งหมด
ตรงเบาะที่นั่งคนขับพบศพผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงสภาพสวมกางเกงยีนส์ขายาว
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว ถูกสะเก็ดระเบิดแขนซ้ายขาด ไส้ไหล ตามตัวยับเยินเต็มไปด้วยสะเก็ดระเบิด
ใบหน้าถูกเขม่าดินระเบิดดำเปื้อน ทราบชื่อต่อมาว่าน.ส.ศุวดี พนาศรี อายุ 37 ปี
เจ้าของรถ และเจ้าของบ้านดังกล่าวส่วนเบาะที่นั่งข้างคนขับพบศพพระธีรศักดิ์
เกตุแก้ว อายุ 59 ปี
พระลูกวัดกัณฑาพฤกษ์ ต.มะนาวหวาน อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี
มรณภาพในสภาพแหลกเหลวเช่นกัน มือขวาขาด ขาขวาขาด ไส้ไหลออกมากอง
ตามตัวและใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าดินปืน และที่เบาะนั่งด้านหลังพบต้นไม้จำนวนหลายต้นตำรวจตรวจค้นรถเก๋งคัน
เกิดเหตุโดยละเอียดพบย่ามพระเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 ใบ เศษชิ้นส่วนอวัยวะคนจำนวนมาก
โทรศัพท์มือถือแตกกระจาย 1 เครื่อง ใบสุทธิพระ 1
เล่ม นาฬิกาข้อมือผู้หญิง 1 เรือน จึงเก็บรวบรวมเอาไว้เป็นหลักฐาน
พร้อมกับนำเชือกมากั้นห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าไป
เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นการทำลายหลักฐาน
พร้อมกันนี้ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการภ.จว.ลพบุรี มาตรวจหาสาเหตุของการเกิดระเบิดโดยละเอียดอีกครั้งนายสุนทร
พนาศรี อายุ 28 ปี
น้องชายน.ส.ศุวดี ให้การว่า
ก่อนเกิดเหตุน.ส.ศุวดีขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านบริเวณจุดเกิดเหตุ
โดยมีพระธีรศักดิ์นั่งคู่มาด้วยได้ไม่ถึง 5 นาที หลังดับเครื่องยนต์รถ
ก็เกิดระเบิดเสียงดังกึกก้องจึงรีบวิ่งมาดูพบว่าทั้งคู่นอนหายใจรวยรินยัง
ไม่สิ้นลม จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจมานำส่งโรงพยาบาล แต่คนทั้ง 2
ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตลงก่อนตำรวจจะมาถึงนายสุนทรกล่าวต่อว่า
พระธีรศักดิ์กับน.ส. ศุวดีรักใคร่ชอบพอกัน
โดยพระธีรศักดิ์จะสึกจากการเป็นพระมาแต่งงานกับพี่สาววันที่ 9 ก.พ.นี้
ก่อนมรณภาพเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา
พระธีรศักดิ์ให้พี่สาวขับรถพาไปพบญาติที่ จ.ชัยภูมิ
เพื่อแนะนำตัวพร้อมพูดคุยเรื่องงานแต่งงาน และขับรถกลับมาถึงบ้าน
หลังจอดรถได้ไม่ถึง 5 นาทีก็เกิดเหตุระเบิดขึ้นในรถ
ทำให้เสียชีวิตทั้ง 2 คนดังกล่าวเบื้องต้นตำรวจยังไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่า
ระเบิดครั้งนี้เกิดจากการพกพาติดตัวของพระธีรศักดิ์ หรือน.ส.ศุวดี
หรือเกิดจากการวางระเบิดสังหารจากบุคคลอื่น
แต่จากสภาพศพเชื่อว่าระเบิดน่าจะเกิดจากทางฝ่ายพระธีรศักดิ์เพราะศพแหลกเละ มากกว่ารายงานข่าวเปิดเผยว่า
พระธีรศักดิ์อดีตเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมป่าไม้ ลาออกจากราชการมาบวชเป็นพระ
ชอบดูดวงจนสนิทสนมกับน.ส.ศุวดีซึ่งเป็นคนชอบดูดวง จนถึงขั้นมีกำหนดการจะแต่งงานกัน
ส่วนน.ส.ศุวดีประกอบอาชีพส่วนตัว เป็นผู้หญิงหน้าตาดีมีผู้ชายมาติดพันหลายคน
อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดในครั้งนี้ก็ได้
............
จับสึกพระนักเทศน์ชื่อดัง
เป็นถึงเลขานุการเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตร ดิตถ์
หลังชาวบ้านสงสัยพฤติกรรมชายหญิงคู่หนึ่ง ทำลับๆล่อๆหวั่นเป็นโจร
เลยแจ้งตำรวจมาตรวจสอบ ความเลยแตกแอบมาเช่าบ้านอยู่กินกับสีกาคนรัก
ลักลอบมาหาทุกเสาร์-อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาจะมา 4 ทุ่มกลับก่อนสว่างวันที่ 14
พ.ย. ร.ต.อ.ศักดา จันจี พงส.สบ.1 สภ.เมืองอุตรดิตถ์ รับแจ้งจากนายอุดม
ประคุณคงชัย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านไผ่ล้อม-ขอนแก่น ต.น้ำริด อ.เมือง
จ.อุตรดิตถ์ ว่าที่อาคารพาณิชย์ 2 ชั้นครึ่ง เลขที่ 96/6
หมู่ 7
ริมถนนสายบ้านน้ำริด-หัวดง ทางแยกเข้าสำนักงานเทศบาลตำบลน้ำริด
มีคนต้องสงสัยมาเช่าบ้านพักอาศัยอยู่ กระทำตัวแบบหลบซ่อน ปกปิดใบหน้าอยู่ตลอด
หวั่นว่าจะเป็นคนร้ายที่หลบหนีคดีมาหลบซ่อนตัว ต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบชายและหญิงที่เข้ามาพักหลังนี้
หลังรับแจ้งจึงไปตรวจสอบพร้อมกำลังจำนวนหนึ่งเมื่อไปถึงพบว่ากลุ่มชาวบ้านประมาณ 20 คน
กำลังปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าวอยู่ ระหว่างนั้นมีรถเก๋งยี่ห้อเรโนลด์ สีเหลือง
หมายเลขทะเบียน กข 2010 อุตรดิตถ์ ขับเข้ามาหน้าบ้าน มีชายและหญิงอยู่ในรถ
ผู้ชายสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวสวมทับด้วยเสื้อยีนแขนยาวสีดำ
นุ่งกางเกงขาสั้นลายการ์ตูน สวมหมวกแก๊ปสีดำ เจ้าหน้าที่จึงเรียกตรวจจากการตรวจสอบทราบว่าฝ่ายชายคือนายภิรมณ์
เอี่ยมสอาด อายุ 28 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 421/9
ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ส่วนผู้หญิงซึ่งเป็นแฟนสาว คือน.ส.ชลธิดา โตธินา
อายุ 22 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 309/1
หมู่ 6
ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ทั้งคู่กลับจากไปซื้อของในเมืองอุตรดิตถ์
เมื่อขอดูบัตรประชาชนน.ส.ชลธิดาแสดงบัตรให้ตรวจสอบ
แต่นายภิรมณ์อ้างว่าไม่ได้พกบัตรประชาชนมา ส่วนใบขับขี่ก็ไม่มีจากนั้นเจ้าหน้าที่ขอตรวจค้นภายในรถ
พบจีวรพระ สบง ผ้าประคดรัดเอว อย่างละ 1 ชิ้นอยู่ที่เบาะหลัง
กระเป๋าย่ามสีเขียวอ่อน ภายในย่ามมีหนังสือมนต์พิธี
ซึ่งเป็นหนังสือท่องบทสวดมนต์และพิธีกรรมทางศาสนา
เอกสารสุทธิหรือสมุดคู่มือประจำตัวพระ ระบุชื่อ พระภิรมณ์ เอี่ยมสอาด ฉายา
จิตตสังวโร อุปสมบทเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2549 ที่วัดวังกะพี้ ต.วังกะพี้
มีพระครูพิศาลจริยธรรม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระใบฎีกาสมจิตร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระปลัดสมบัติ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ จึงคุมตัวพระภิรมณ์มาสอบสวน
พระภิรมณ์ให้การว่า เป็นพระลูกวัดวังกะพี้ บวชเณรมาตั้งแต่อายุ 11
ขวบ เมื่ออายุได้ 20 ปี ก็ลาสิกขา กระทั่งอายุ 27
ได้บวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุเป็นเวลา 3 พรรษา
มีตำแหน่งเป็นเลขานุการเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ต่อมาเมื่อปี 2550
เกิดรักใคร่ชอบพอกับน.ส.ชลธิดา และลอบมีความสัมพันธ์กันมา โดยให้น.ส.ชลธิดาไปหาบ้านเช่าอยู่อาศัย
ตนจะแอบไปหาทุกเสาร์อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาจะแอบมาหาหลังสี่ทุ่ม
และกลับวัดก่อนเช้ามืด โดยเปลี่ยนบ้านเช่ามาตลอด เนื่องจากเกรงญาติโยมจะจับได้
สำหรับเงินที่ได้จากการเทศนาธรรม ก็จะแบ่งให้สีกาใช้เป็นประจำตลอดมา
จนกระทั่งมาถูกจับได้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพระภิรมณ์
เป็นพระนักเทศชื่อดังในจ.อุตรดิตถ์
โดยเทศนาเกี่ยวกับพระคุณพ่อและพระคุณแม่เป็นหลัก
หลังสอบปากคำเจ้าหน้าที่นำตัวไปส่งมอบพระเทพปริยัติวิธาน เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์
ที่วัดคลองโพธิ์พระอารามหลวง พร้อมแจ้งเรื่องราวให้ทราบ พระเทพปริยัติวิธาน
กล่าวว่า พระภิรมณ์ขาดจากการเป็นพระแล้วด้วยเหตุปาราชิก
เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับสีกาด้วยการเสพเมถุน ผิดศีลต้องห้าม
ต้องปาราชิกโดยไม่จำเป็นต้องลาสิกขาบทต่อหน้าพระสงฆ์
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปทำบันทึกประจำวันก่อนปล่อยตัวไป
.............
ผงะ!
ซีดีฉาวพระครูคนดังสิงห์บุรีนอนคาบไปป์เสพเมถุนสีกาสาวในม่านรูด
ชาวบ้านสุดทนเจอซีดีโฉ่ระบาดทั้งเมือง
ร้องสื่อมวลชนช่วยเปิดโปงพฤติกรรมนอกรีตของพระดังรูปนี้
เปิดดูเห็นหน้าพระครูชัดเจนเป็นทั้งเจ้าคณะตำบล-สมภารวัดแห่งหนึ่งอยู่ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน
มีสีกาคลอเคลียไม่ห่าง ตามไปพิสูจน์ถึงที่วัด
ปรากฏว่าพระครูฉาวขนข้าวขนของเผ่นหายไปหลายวันแล้วเมื่อวันที่ 23
เม.ย.52 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.สิงห์บุรีว่า
ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านถึงพฤติกรรมของพระครูรูปหนึ่งในจังหวัด
โดยมีหลักฐานเป็นซีดีลามกอนาจาร โดยซีดีดังกล่าวเป็นภาพของพระครูซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดดังในจ.สิงห์บุรีกำลังเสพเมถุนกับสีกาสาวใหญ่
โดยพระครูรูปดังกล่าวเปลือยกายสูบไปป์นอนอยู่บนเตียง
มีสีกาสาวเปลือยกายเช่นกันคลอเคลียอยู่ตลอดเวลา ซึ่งซีดีดังกล่าวมีความยาวเพียง 2-3
นาทีเท่านั้น แต่เห็นหน้าพระครูรูปนี้อย่างชัดเจนโดยชาวบ้านที่ร้องเรียนระบุว่า
พบซีดีอื้อฉาวดังกล่าวแพร่ระบาดไปทั้งจังหวัดสิงห์บุรี
เมื่อเปิดดูก็จำได้แม่นว่าผู้ชายในซีดีก็คือพระครูซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในอ.เมือง
จ.สิงห์บุรี และยังเป็นถึงเจ้าคณะตำบลแห่งหนึ่งด้วย จึงนำมาร้องเรียนสื่อมวลชนจากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดดังกล่าว
เพื่อสอบถามกับตัวเจ้าอาวาส ปรากฏว่าที่หน้าประตูกุฏิเจ้าอาวาสมีข้อความว่า
"ปิดชั่วคราว" มีลายเซ็นเจ้าอาวาสกำกับเอาไว้ด้วย
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามพระลูกวัดที่จำวัดอยู่ทั้งหมด 4 รูป โดยทั้งหมดกล่าวเพียงว่า
ไม่ทราบเรื่อง มีอะไรให้ไปถามกับเจ้าอาวาสเองจากการสอบถามชาวบ้านบริเวณใกล้วัดได้ความว่า
เมื่อคืนวันที่ 12
เม.ย.ที่ผ่านมา เจ้าอาวาสนำรถบรรทุกมาขนของไปจากวัดในกลางดึก
ซึ่งชาวบ้านไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร แต่ก็พอทราบว่ามีปัญหาเรื่องผู้หญิงอยู่
เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของพระครูรูปดังกล่าวนั้นไม่ดีเท่าไรนัก
เข้ากับชาวบ้านไม่ได้ ตั้งแต่ย้ายมาจำวัดแห่งนี้ได้ประมาณ 3 ปี
แม้กระทั้งพระที่บวชอยู่จำนวนหลายรูปก็ต้องขอย้ายออกไปเพราะทนดูพฤติกรรมเจ้าอาวาสไม่ได้ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า
พระครูรูปดังกล่าวตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่วัดก็ตั้งตัวเองเป็นหมอดู หมอเสน่ห์
และอาจารย์สักยันต์ และพฤติกรรมพาสีกามามั่วสุมในกลางดึกมาตลอด
จนชาวบ้านระอาย้ายไปทำบุญที่วัดอื่นกันหมด รวมทั้งพระที่วัดก็แทบจะไม่เหลืออยู่
ซึ่งเมื่อกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
ได้มีสีกาคนหนึ่งนำซีดีพฤติกรรมของพระครูรูปนี้ไปมอบให้เจ้าคณะอำเภอเมืองสิงห์บุรี
และเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี จากนั้นก็ทราบว่าพระครูรูปดังกล่าวได้เก็บของออกไปแล้ว
ได้ข่าวว่าย้ายไปอยู่ที่จ.ปราจีนบุรี
.....................
เหตุสมภารฉาวมั่วสีการายนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 00.30 น.
วันที่ 10
เม.ย. พ.ต.ท.อวัช มูลศิริ สวญ.สภ.ช้างใหญ่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา
ได้รับแจ้งจากนายสมชาย สุขสามดาว อายุ 50 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3
ต.ช้างใหญ่ ว่ามีชาวบ้านฮือปิดล้อมกุฏิพระครูวินัยธรมรรยาท สุภาจาโร อายุ 45 ปี
เจ้าอาวาสวัดช้างใหญ่ เนื่องจากจับได้ว่าพาสีกาเข้าไปในกุฏิกลางดึก
เกรงจะถูกชาวบ้านบุกเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ จึงสั่งการให้ พ.ต.ต. สันติ ธัยมาตร
สว.สส. นำกำลังเข้าไประงับเหตุที่เกิดเหตุเป็นกุฏิทรงไทยยกพื้นสูง พบนายสมชาย
พร้อมด้วยพระ เณร และชาวบ้านราว 100 คน ล้อมกุฏิที่เกิดเหตุ
ต่างพากันตะโกนด่าและสาปแช่งพระฉาว พยายามจะพังประตูบุกเข้าไป
จึงขอให้ชาวบ้านอยู่ในความสงบ และพูดเกลี้ยกล่อมให้พระครูวินัยธรมรรยาท
เปิดประตูให้เข้าไปตรวจสอบนานกว่า 1 ชั่วโมง พระครูวินัยธรมรรยาท
ถึงยอมเปิดประตูกุฏิออกมาด้วยสีหน้าซีดเผือด พร้อมปฏิเสธไม่ได้นำสีกาเข้ามาในกุฏิเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นในกุฏิอย่างละเอียดกระทั่งพบ
น.ส.ฝน ไม่ทราบนามสกุล อายุราว 30 ปี สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ
ซ่อนตัวอยู่ ใต้เพดาน
จึงเรียกลงมาในสภาพเนื้อตัวเต็มไปด้วยหยากไย่ทำให้พระครูวินัยธรมรรยาทถึงกับหน้าถอดสี
ไม่ยอมพูดจาใดๆ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุ้มกันสมภารฉาว กับ
น.ส.ฝนฝ่ากลุ่มชาวบ้านขึ้นรถสายตรวจ นำไปให้ พระครูทักษิณวรกิจ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง
และเป็นเจ้าคณะตำบลไม้ตราทำการสึกก่อนปล่อยตัวไปนายสมชาย สุขสามดาว
ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3
เปิดเผยว่า พระครูวินัยธรมรรยาท เป็นคนในหมู่บ้าน บวชมาราว 25
พรรษา จนได้เป็นเจ้าอาวาสวัดช้างใหญ่ เมื่อ 4-5 ปีก่อน ระยะหลังการบริหารเงินของวัดไม่ค่อยโปร่งใส
และมีชาวบ้านพบเห็นพระครูฉาวพาผู้หญิงเข้ากุฏิบ่อยครั้งจนชาวบ้านหมดศรัทธาไม่มาทำบุญที่วัด
กระทั่งก่อนเกิดเหตุราวสี่ทุ่ม มีคนเห็น
น.ส.ฝนนั่งรถตุ๊กตุ๊กมาลงหลังกุฏิเจ้าอาวาส แล้วเดินเข้าไปในกุฏิ และจำได้ว่า
น.ส.ฝนแอบมาหาพระครูฉาวบ่อยครั้ง จึงมาปรึกษาตน
ก่อนระดมชาวบ้านปิดล้อมกุฏิเพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขาจนมีการตรวจค้นกุฏิพบว่าพาสีกาเข้ามานอนกกจริง
ถึงได้ยอมสึกโดยดี
.................
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ตำรวจภูธรภาค 4
แถลงผลคลี่คลายคดีนายนพวรรณ กองโคตร คนงานขายวัสดุก่อสร้างโรงไม้เหรียญไทย วัย 38 ปีที่ต.ท่าพระ
อ.เมือง จ.ขอนแก่น
ถูกคนร้ายฆ่าแล้วเผาทิ้งอยู่ในไร่อ้อยบ้านหนองโพใกล้กับสะพานข้ามลำน้ำชี
บ้านหนองบัวดีหมี หมู่ 2 ต.หนองแวง อ.พระยืน จ.ขอนแก่น
พบศพในเช้าวันที่ 29 พ.ย. โดยจับกุมพระเทวา ธมมธีโร หรือ นายเทวา
ฉิมมาลี อายุ 37 ปี
ชาวจ.อุทัยธานี และนางดวงเดือน กองโคตร อายุ 35 ปี ภรรยาผู้ตาย
เป็นผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยไตรตรองไว้ก่อน และมีอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง
หมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงข่าวที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค
4
พระเทวาที่ถูกจับสึกในวัด จ.สกลนครมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนกอดหอมแก้มนางดวงเดือนด้วยความรัก
ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสื่อมวลชน ที่ไปทำข่าวจำนวนมาก
และยอมรับสารภาพว่าวางแผนฆ่าแล้วเผาผัวนางดวงเดือนจริง โดยทำงานเพียงคนเดียว
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นได้เล่าให้นางดวงเดือนทราบอย่างละเอียดทุกขั้นตอนในการแถลงข่าว
ตำรวจแสดงของกลาง โดยเฉพาะจดหมายรักระหว่างพระเทวา ธมฺมธีโร และนางดวงเดือน
กองโคตร จำนวน 4
แผ่นที่ได้เขียนบรรยายความรักของพระเทวาต่อครูบ้านหนองฮี ว่า
"ขอเป็นแต่ชู้ทางใจก็พร้อมจะยินยอมน้อมรับโดยไม่เสียใจใดๆเลย
ยอมทุกอย่างถ้าเขาสบายใจ แม้นรักไม่สมหวังจะขออยู่ในสมณเพศตลอดชีพ
ขอเพียงได้รักเธอ พี่ก็รู้สึกคุ้มค่าที่สุดแล้ว"ตำรวจ กก.1
บก.สส.ภ.4
สืบทราบว่า เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ.2551
นายเทวาหรือพระเทวาในขณะนั้นได้บวชเป็นพระมาจำพรรษาที่บ้านหนองฮี
และติดพันกับนางดวงเดือนขณะที่บวชเป็นพระ โดยก่อนเริ่มคบหากัน
พระเทวาได้บอกความฝันว่าฝันว่าตนเองได้สร้อยคอ
นางดวงเดือนจึงบอกว่าถ้าฝันในลักษณะนี้จะได้คู่ครอง และนางดวงเดือนเคยดูดวงว่าสามีคือนายนพวรรณจะเสียชีวิต
ขณะที่นางดวงเดือนอายุประมาณ 37 ปี ซึ่งจะได้สามีใหม่ ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร “ท” หลังจากนั้นทั้งสองจึงแอบคบหาจนได้เสียกันหลายครั้ง
หลังจากออกพรรษาแล้ว พระเทวาออกจากวัดบ้านหนองฮีไป
แต่ก็ยังมีการติดต่อกับนางดวงเดือนมาโดยตลอด
และพระเทวาได้เขียนจดหมายบรรยายความรักและความรู้สึกที่มีต่อนางดวงเดือน
ซึ่งนางดวงเดือนก็ยังเก็บไว้กับตัวไว้เพื่อดูต่างหน้า
ต่อมาพระเทวาได้โทรศัพท์ติดต่อกับนางดวงเดือนเรื่อยมา
ต่อมานายนพวรรณมาจับได้ว่าพระเทวาแอบลักลอบได้เสียกับนางดวงเดือนมาเป็นเวลานาน จนพระเทวาและนายนพวรรณมีปากเสียงกันขึ้นมาอย่างรุนแรง
ถึงขนาดอาฆาตขู่ฆ่าจะเอาชีวิตกันในทางโทรศัพท์
จนพระเทวาตัดสินใจเก็บเงินซื้อปืนจากคนรู้จักใน จ.อุทัยธานีในราคา 5,000
บาท จำนวน 1
กระบอก แล้วเดินทางจากวัดบ้านไร่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี มาที่ จ.ขอนแก่น เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มจากใส่เสื้อผ้าเป็นฆราวาส
มาปักกรดดักรอฆ่านายนพวรรณสามีของนางดวงเดือนในไร่อ้อย กระทั่งวันเกิดเหตุ
พระเทวาโทรศัพท์ลวงนายนพวรรณ ซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านเหรียญไทยวัสดุก่อสร้าง
ให้ออกมาในที่เกิดเหตุโดยอ้างว่าจะจ้างให้นายนพวรรณออกมาดูไม้เพื่อที่จะตัดและใช้ก่อสร้าง
นายนพวรรณหลงเชื่อออกมาพบพระเทวาในเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 28
พ.ย.
พระเทวานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายนพวรรณเข้าไปในบริเวณไร่อ้อยจุดเกิดเหตุ
แล้วชักอาวุธปืนที่เหน็บเอวไว้ยิงที่ด้านหลังนายนพวรรณจนถึงแก่ความตาย
แล้วใช้น้ำมันเบนซินที่เตรียมมาด้วยจัดการเผาศพนายนพวรรณ ทั้งนี้
ระหว่างการทำแผนประกอบคำรับสารภาพในจุดที่เกิดเหตุไร่อ้อยบ้านหนองโพ หมู่ 2
ต.หนองแวง อ.พระยืน เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 30 นาที จึงเสร็จสิ้น
โดยนายเทวายอมรับสารภาพอย่างไม่สะทกสะท้าน
แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ควบคุมผู้ต้องหาทั้งสองคนเข้าห้องขัง สภ.พระยืน
เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ตร.บุกจับ
หลวงพ่อเฮียง ปิยทสฺสี อายุ 70 ปี เจ้าอาวาสวัดจบกเกร็ง อ.ประโคนชัย
ขณะร่วมหลับนอนกับสาวใหญ่ในห้องพักบังกะโล แห่งหนึ่งใน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ (13
ต.ค.) ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ตำรวจสภ.อ.ละหายทราย
บุกจับเจ้าอาวาสวัดชื่อดังบุรีรัมย์วัย 70 ปี
ทำตัวนอกรีดหื่นกามนัดสาวใหญ่ขาประจำเข้าบังกะโลเสพเมถุนอ้างทำคุณไสยมัดใจสามี
ด้านฝ่ายหญิงบอกพระแก่กระโจนเข้าปลุกปล้ำด้วยอารมณ์รุนแรงเลยเผลอตัวส่งเสียงร้องดังจนพนักงานบังกะโลได้ยินโทรฯ
แจ้งตำรวจเข้าบุกจับได้คาเตียง
เผยหลังถูกจับสึกพระหื่นยอมรับเป็นเมียแต่สาวใหญ่ปฏิเสธต่างไม่ติดใจเอาความกันและโทรฯบอกสามีให้มารับเหตุการณ์บัดสีวงการผ้าเหลือง
ดังกล่าว เมื่อเวลา 10.30 น. (13 ต.ค.) พ.ต.อ.เปรื่อง นาคะพงษ์
ผกก.สภ.อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจากพนักงานของบังกะโลแห่งหนึ่ง
ตั้งอยู่ชุมชนป่ากล้วย ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ว่า
มีพระสงฆ์แอบมาเปิดห้องพักอยู่กับหญิงสาว จึงแจ้งให้ พ.ต.ท.สราวุธ ศรีธนายุสบดี
สวป. นำกำลังไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบเป็นห้องพักไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ท้ายบังกะโล
จึงเคาะประตูเรียกสักครู่ คนในห้องยังไม่ยอมเปิดประตู จึงใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป
ตำรวจถึงกับผงะเมื่อพบชายสูงอายุหัวโล้นนั่งอยู่ข้างเตียง
โดยมีจีวรพระกองอยู่และพบหญิงสาวในชุดเกือบเปลือยสวมผ้าขนหนูผืนเดียว
จึงควบคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.อ.ละหานทราย จากการสอบสวนพระหื่นทราบภายหลังว่าเป็น
หลวงพ่อเฮียง ปิยทสฺสี อายุ 70 ปี เจ้าอาวาสวัดจบกเกร็ง ม.6
ต.โคกตูม อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ บ้านจริงอยู่บ้านเลขที่ 7 ม.5
ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ส่วนหญิงสาวคือ นางพร พันธุ์ขาว อายุ 34 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 57 ม.4
ต.ตูมใหญ่ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
นางพรให้การว่า
พระเฮียง เป็นพระเก่งทางทำคุณไสยเสน่ห์ยาแฝด ตนเองเคยมีสามีและลูก 3 คน
ต่อมาแยกทางกันและมีสามีใหม่ได้ประมาณ 2 เดือน
จึงมาหาพระเฮียงให้ทำเสน่ห์เพื่อมัดใจสามีใหม่ ซึ่งตนเคยไปหาที่วัดจบกเกร็ง
วิธีทำเสน่ห์คือ พระเฮียง จะใช้รูปปั้นขี้ผึ้งชายหญิงมาถูบริเวณหัวนมและอวัยวะเพศพร้อมใช้มือถูน้ำมันไปทั่วร่าง
จนเกิดมีเพศสัมพันธ์กันในวัดหลายครั้ง เพราะพระเฮียง ถึงจะอายุมากแต่ยังแข็งแรง
และ ล่าสุด พระเฮียง ได้โทรศัพท์นัดให้ขึ้นรถโดยสารพร้อมกันที่ อ.ประโคนชัย
โดยทำเป็นไม่รู้จักกัน พอลงรถต่างก็จ้างรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งที่บังกะโล
พระเฮียงจะแอบถอดจีวรใส่กระเป๋าและสวมชุดธรรมดาไปเปิดห้อง
แต่วันนี้พระเฮียงมีอารมณ์รุนแรงพอเปิดห้องก็บุกเข้าปลุกปล้ำด้วยความร้อนแรง
จนตนร้องเสียงดังทำให้พนักงานต้อนรับได้ยินและโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ส่วนพระหื่นนั่งก้มหน้านิ่ง พร้อมสารภาพว่า บวชมานานกว่า 10 ปี
มีชาวบ้านนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาส
ตนถนัดเรื่องทำเสน่ห์ยาแฝดมีสาวแก่แม่หม้ายมาให้ทำคุณไสยจำนวนมาก แต่มาติดใจนางพร
จึงนัดมาพบที่โรงแรมจนตำรวจมาจับได้ดังกล่าว
โดยพระเฮียงได้ยอมถอดจีวร
สละจากความเป็นพระสงฆ์ด้วยตัวเอง พร้อมบอกจะยอมรับนางพรเป็นเมียไปเลี้ยงดู
แต่นางพรปฏิเสธไม่เล่นด้วย และได้โทรศัพท์บอกสามีที่ทำงานก่อสร้างอยู่ที่กรุงเทพฯ
ให้ทราบเรื่องและให้มารับตัวกลับ จากนั้น ร.ต.ท.ธีรวุฒ สุทธิพนไพศาล ร้อยเวรฯ
สภ.อ.ละหานทราย ได้ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานก่อนปล่อยตัวทั้งคู่ไป
และต่างฝ่ายต่างเลิกราไม่เอาเรื่องกัน
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 18
ธ.ค. ร.ต.อ.ชัยชนะ สุดสง่า รอง สว.สส.ภจว.สระบุรี พร้อมพวก
นำกำลังไปดักซุ่มบริเวณป่าละเมาะ ข้างพระอุโบสถวัดแห่งหนึ่ง ใน ต.หนองยาว
อ.เมืองสระบุรี เพื่อจับพระลูกวัด ที่หลอกลวงนางเปิ้ล (นามสมมุติ)
สาวใหญ่อาชีพแม่บ้านโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งไปทำมิดีมิร้าย
หลังจากทราบเบาะแสว่านางเปิ้ลได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์นัดแนะจากพระ
ให้ซื้อเบียร์พร้อมแก้วติดตัวไปด้วย และพระดังกล่าวรออยู่ที่จุดนัดหมายแล้ว
เมื่อถึงเวลานัด
นางเปิ้ลได้ขี่จักรยานไปจอดทิ้งไว้ชายป่าละเมาะ แล้วเดินถือถุงใส่เบียร์ 2
กระป๋องไปในป่าริมทุ่งนา โดยมีพระนั่งปูเสื่อคอยท่าอยู่ เมื่อดื่มเบียร์หมดไป 2
กระป๋อง พระจึงเริ่มลวนลามหวังเคลมสวาท
นางเปิ้ลจึงส่งสัญญาณให้ตำรวจตะครุบตัวทันที ทราบชื่อต่อมาคือพระคม (ไม่ทราบฉายา)
อายุ 45 ปี
ทำให้พระคมถึงกับหน้าถอดสี พูดจามีกลิ่นเบียร์เหม็น คลุ้ง
เจ้าหน้าที่จึงพาส่งให้พระครูพิศาลศรธรรม เจ้าคณะตำบลปากเพรียว อ.เมืองสระบุรี
ทำการสึกจากพระ สอบสวนนางเปิ้ลให้การว่าเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อนพระคมบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน
และขอเบอร์โทรศัพท์มือถือ โดยอ้างว่าเป็นเพื่อนกับสามีของตนที่เสียชีวิตไปแล้ว
ซึ่งตนไม่ให้ แต่พระคมก็ไม่ละความพยายามไปขอเบอร์ฯจากลูกสาว
และโทรฯมาหาหลายครั้งในลักษณะเกี้ยวพาราสี พูดจาหยาบคาย
ตนจึงเข้าหารือกับตำรวจและวางแผนหลอกล่อจับกุมพระคมได้คาหนังคาเขา.
ถึงเวลาหรือยังที่จะมีกฎหมายออกมาบังคับใช้?แนวทางการแก้ไข
ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ?????ฏหมายเอาผิดอาญา พระ-คู่นอน เสพเมถุน"หมอเกษม"
เสนอออก ก.ม.เอาผิดทางอาญาพระสงฆ์ทำชั่ว พระชั้นผู้ใหญ่-สำนักพุทธฯ หนุน ชี้
เอาผิดพระเสพเมถุน รวมทั้งคู่นอน เหตุทำร้ายศาสนาอย่างร้ายแรง
ที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่เสพเมถุนมีความผิดเพียงวินัยสงฆ์ ทั้งที่เป็นการทำร้ายศาสนาอย่างร้ายแรง
น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี จึงเสนอให้มีบทลงโทษพระสงฆ์ที่ทำชั่วด้วย โดย น.พ.เกษม
กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สังคมคุณธรรม คือ
วัฒนธรรมกตัญญู" ในการสัมมนาเวทีสาธารณะปรับแนวคิดเพื่อชีวิตผู้สูงวัย
ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ว่า การปลูกฝังศีลธรรมให้แก่เด็กๆ
ควรเริ่มตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยพ่อแม่พาเด็กเข้าวัด แต่วัดต้องสะอาด สงบ สว่าง
ไม่ใช่ขายของเต็มไปหมด มีทั้งร้านขายกางเกงยีนและกล้วยทอด น.พ.เกษม กล่าวด้วยว่า
ช่วงหลังๆ มีคนมากระซิบว่า เข้าวัดแล้วไม่รู้พระรูปไหนควรไหว้ไม่ควรไหว้ จึงบอกไปว่าเข้าวัดเถอะ
อย่างพระประธานก็ไหว้ได้ เพราะท่านเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่เชื่อว่าพระดีๆ มีอยู่มาก
พระไม่ดีมีน้อย และเห็นด้วยกับอาจารย์เสถียรพงษ์ วรรณปก ที่เขียนบทความเสนอว่า
ถึงเวลาแล้วที่คณะสงฆ์ต้องดูแลคนที่แอบเข้ามาบวชแล้วทำชั่ว
จึงอยากให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ออกกฎหมายลงโทษทางอาญา
สำหรับคนที่เข้ามาบวชแล้วทำชั่ว นอกจากถูกลงโทษทางวินัยสงฆ์แล้ว
ยังต้องได้รับการลงโทษทางอาญาด้วย"ที่เสนอให้ออกกฎหมายนี้
เพราะพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสังคมมาก
และคนที่แอบมาบวชก็ทำมิดีมิร้ายต่อพุทธศาสนา นอกจากจะจับสึกแล้วควรจะดำเนินคดีทางอาญาด้วย"
น.พ.เกษม กล่าวด้าน
พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
เห็นด้วยกับแนวคิดข้างต้น
เนื่องจากทุกวันนี้พระสงฆ์ที่ยุ่งเกี่ยวกับสีกาที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
เมื่อถูกจับสึกก็ไม่ได้ถูกลงโทษในคดีอาญา เพราะถือเป็นการสมยอมกัน
ไม่มีการลงโทษทางอาญา
ทั้งที่การกระทำผิดนั้นไม่ใช่แค่สร้างความเสื่อมเสียให้แก่คณะสงฆ์
แต่ยังสร้างความเสื่อมเสียให้แก่พุทธศาสนาด้วย"อยากให้มีกฎหมายนี้ขึ้นมา
และไม่ใช่แค่เอาผิดพระสงฆ์เท่านั้น แต่คนที่เกี่ยวข้อง เช่น
สีกาที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพระ ก็ต้องถูกลงโทษด้วย และต้องลงโทษให้หนัก เพราะศาสนาเป็น
1 ใน
3
สถาบันหลักของชาติ
แต่ยังไม่มีกฎหมายเอาผิดทางอาญากับคนที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสีย
เชื่อว่าการออกกฎหมายนี้ จะช่วยลดจำนวนพระสงฆ์ที่ทำชั่วลงได้"
พระเทพวิสุทธิกวี กล่าวเช่นเดียวกับ
พระรัตนเมธี หัวหน้าพระวินยาธิการ กทม.
ที่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายเอาผิดพระสงฆ์ทำชั่ว
เพราะปัจจุบันแม้พระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวกับสีกาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
จะมีโทษทางสงฆ์สูงสุดให้จับสึก และโทษทางโลกให้ดำเนินคดีอาญา แต่โทษอาจจะเบาไป
ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสีย หากเอาผิดทางอาญาในข้อที่ทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสียด้วย
จะช่วยให้คนที่เข้ามาบวชเป็นพระสงฆ์ปฏิบัติตนอยู่ในวินัยของสงฆ์มากขึ้น
ด้าน
น.พ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้สำนักงานพระพุทธฯ
เคยปรึกษาหารือกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว
และได้เสนอให้คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(คปค.) ก่อนจะมาเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
โดยเสนอให้มีบทลงโทษทางอาญากับพระที่เสพเมถุน ส่วนความผิดทางวินัยสงฆ์อื่นๆ
ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยเดิม
"ดีมาก
เรื่องนี้ดีทีเดียว เราเคยเสนอไปแล้ว นอกจากพระที่เสพเมถุน ยังให้ลงโทษมาตุคาม หรือคู่นอน
ทั้งที่เป็นหญิงและชาย ปกติแล้วพระที่ทำผิด เช่น ขโมยเงินวัด
เข้าข่ายคดีอาญาอยู่แล้ว พอสึกก็ต้องถูกลงโทษทางอาญาด้วย ตรงกันข้ามกับการเสพเมถุน
พอสึกออกไปแล้วยังสบายใจเฉิบ เพราะการเสพเมถุนไม่เป็นความผิดทางอาญา
ทำให้คนไม่ดีตั้งใจทำผิดกันจนเพลิน ทั้งที่เป็นการทำร้ายพระพุทธศาสนาเหลือเกิน"
น.พ.จักรธรรม กล่าว
ที่มาจากหนังสือพิมพ์
คมชัดลึก
ชาวบ้านแห่บุกล้อมกุฏิเจ้าอาวาสวัดดัง
อ.บ้านฉาง จ.ระยอง หลังได้ข่าวชอบพาสาวมาร่วมหลับนอน
เจอจะจะขณะสาวเดินออกจากกุฏิตอนตี 4 เลยกักตัวไว้ซักถาม
เจ้าตัวยอมรับเพิ่งมาร่วมหลับนอนกับเจ้าอาวาสหมาดๆ ชาวบ้านจึงฮือล้อมวัด
ร้อนถึงกำนันต้องไปตามตร. กับเจ้าคณะตำบลมาช่วยเจรจา
แต่เจ้าอาวาสก็ยังเก็บตัวเงียบ
ก่อนตัดสินใจหนีออกประตูหลังไปขึ้นรถลูกศิษย์ที่จอดรอไว้ โดนรุมสกรัมไปหลายหมัด
แต่หนีรอดไปได้ เจ้าคณะตำบลเตรียมเสนอเจ้าคณะจังหวัดปลดจากเจ้าอาวาส
เจอตัวเมื่อไหร่สึกเมื่อนั้นเมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 28
มี.ค. นายสมทรง แถวโชติ กำนันต.พลา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง
รับแจ้งจากชาวบ้านและเจ้าหน้าที่อปพร.ตำบลพลา อ.บ้านฉาง ว่า
สามารถจับผิดพฤิตกรรมพระปลัดนพรัตน์ เจ้าอาวาสวัดพลา ซึ่งพาสีกามาเสพเมถุนในกุฏิเอาไว้ได้อย่างคาหนังคาเขา
นายสมทรงจึงประสานด.ต.มงคล วิงวอน ตร.ประจำตู้ยามหาดพยูน สภ.บ้านฉาง
รีบเดินทางไปตรวจสอบ พบชาวบ้านจำนวนมาก
พากันล้อมกุฏิพระปลัดนพรัตน์เอาไว้ทุกด้านตั้งแต่ตอนเช้ามืด พร้อมกักตัว น.ส.เอ
(นามสมมติ) อายุ 33 ปี
หญิงสาวที่มาร่วมหลับนอนกับพระปลัดนพรัตน์เอาไว้สอบสวน ซึ่งน.ส.เอ
ยอมรับสารภาพว่าเพิ่งมีเพศสัมพันธ์กับพระปลัดนพรัตน์จริง
ก่อนหน้านี้เคยเดินทางมาร่วมหลับนอนด้วย 3-4 ครั้ง ภายในช่วง 3
เดือน ซึ่งน.ส.เอ อยู่ในอาการตกใจกลัว จึงไม่ยอมเปิดเผยอะไรมาก
ได้แต่ปิดหน้าร้องไห้และพูดอยู่อย่างเดียวว่ากลัวสามีรู้ พร้อมขู่จะฆ่าตัวตาย
นายสมทรงจึงกันตัวไว้ในที่ปลอดภัย
ก่อนจะเป็นตัวแทนเข้าเจรจากับพระปลัดนพรัตน์ที่ยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในกุฏิกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนี้
เกิดขึ้นภายหลังจากที่มีชาวบ้านข้องใจในพฤติกรรมของพระปลัดนพรัตน์ เจ้าอาวาสวัดพลา
มานานแล้ว เพราะทราบมาว่าเจ้าอาวาสมักพาสีกามาร่วมหลับนอนที่วัดบ่อยครั้ง
หรือไม่ก็แต่งชุดฆราวาสออกเที่ยวเตร่ตอนกลางคืนเป็นประจำ
จึงประสานเจ้าหน้าที่อปพร. พากันมาจับผิดดูพฤติกรรม รอจนกระทั่งตอนตี 4
จึงเห็นน.ส.เอ เดินออกมาจากกุฏิพระปลัดนพรัตน์ กำลังเดินไปขึ้นรถเก๋งโตโยต้า วีออส
กลุ่มชาวบ้านจึงฮือเข้าจับตัวไว้ก่อนจะพาไปสอบสวนเอาความจริงผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการปิดล้อมวัด
ว่า หลังความจริงปรากฏออกมา พระปลัดนพรัตน์ ได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในกุฏิ
ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าทอจากชาวบ้านดังขรม นายสมทรงและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ไปลาสิกขาและรีบออกไปจากวัดก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย
เนื่องจากในช่วงสายมีชาวบ้านหลายร้อยคนฮือสมทบจำนวนมาก
แต่พระปลัดนพรัตน์ยังคงต่อรอง ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
นายสมทรงจึงรีบไปนิมนต์พระมหาประวิทย์ เจ้าคณะตำบลสำนักท้อน อ.บ้านฉาง
มาเกลี้ยกล่อมอีกทาง แต่ทำอย่างไรพระปลัดนพรัตน์ ก็ไม่ยอมเปิดประตู
และยังปฏิเสธว่ามีผู้หญิงเข้ามาจริง แต่ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกัน
เลยทำให้เหตุการณ์ยิ่งคุกรุ่นขึ้นผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า การเจรจาผ่านไปนานร่วม 2
ชั่วโมง นายสมทรง และนายสมพร ล้นเหลือ นายกเทศมนตรีตำบลพลา พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จึงตัดสินใจงัดประตูเข้าไป แต่ก็ไปติดประตูกระจกกุฏิของพระปลัดนพรัตน์อีกจนได้
ซึ่งเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นว่าตลอดเวลาพระปลัดนพรัตน์ อยู่ในอาการเครียด
เดินวนไปวนมาภายในห้อง หลังจากนั้นไม่นานพระปลัดนพรัตน์จึงตัดสินใจเดินออกทางประตูด้านหลัง
โดยมีลูกศิษย์ส่วนหนึ่งคุ้มกันอย่างแน่นหนา พยายามพาขึ้นรถยนต์ที่จอดรอไว้
แต่ก็ถูกชาวบ้านจำนวนหนึ่งฮือเข้าไปประชาทัณฑ์ ถูกเตะต่อยไปหลายหมัด
ก่อนที่จะขึ้นรถหนีไปได้ ท่ามกลางเสียงขับไล่ดังไล่หลัง หลังควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าตรวจค้นภายในกุฏิ พบเสื้อชั้นในผู้หญิงสีชมพู ยี่ห้อวาโก้ 1
ตัว กางชั้นในสีชมพู 1 ตัว ถุงยางอนามัย 1
กล่อง และยังพบแผ่นหนังลามกถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าเก็บแผ่นซีดี ประมาณ 100
แผ่น เบียร์ 2
ขวด พร้อมด้วยก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ภายในชาม ในตู้เย็นพบขนมเครื่องดื่มเต็มตู้ จึงบันทึกภาพเอาไว้เป็นหลักฐานพระมหาประวิทย์
กล่าวว่า ได้รายงานไปยังเจ้าคณะจังหวัดทราบแล้ว
เบื้องต้นได้ปลดพระปลัดนพรัตน์ออกจากการเป็นเจ้าอาวาส แล้ว และเตรียมดำเนินการสึก
เพราะหลักฐานที่พบก็ถือว่าผิดวินัยสงฆ์
และยังมีฝ่ายผู้หญิงที่ให้การว่ามีเพศสัมพันธ์กัน ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับพระปลัดนพรัตน์
เดิมชื่อนายนพรัตน์ วงษ์ทิพย์รัตน์ อายุ 50 ปี บ้านเดิมอยู่ที่ ต.กร่ำ อ.แกลง
จ.ระยอง เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ต.กร่ำ แต่ถูกชาวบ้านขับไล่ออกจากวัด
ด้วยสาเหตุในเรื่องทำนองเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐานจนกระทั่งได้มาอยู่ที่วัดพลา
เมื่อประมาณ 10 ปี
ที่ผ่านมา ในตอนแรกก็พฤติกรรมดี จนกระทั่งเริ่มออกลายภายหลัง
ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านเคยรวมตัวขับไล่มาแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ไม่มีหลักฐานจึงทำอะไรไม่ได้ จนกระทั่งชาวบ้านมาจับได้ในครั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
ในช่วงนี้ชาวบ้านยังคงปักหลักอยู่ภายในวัด และผลัดเปลี่ยนเข้าเวรยามกันตลอด 24
ชั่วโมง เพื่อจับตาดูว่า พระปลัดนพรัตน์ จะหวนกลับมาอีกหรือไม่ นอกจากนี้
ชาวบ้านยังเรียกร้องให้กรรมการวัดตรวจสอบบัญชีการใช้จ่ายของทางวัดอีกด้วยเพราะมีการใช้จ่ายเงินวัดนับล้านบาทเลยทีเดียว
"พระพยอม"
อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารสำนักพุทธฯ หนุนแนวคิด "หมอเกษม"
ออกกฎหมายลงโทษทางอาญาพระสงฆ์ทำชั่ว ระบุต้องหารือกับฝ่ายรัฐ-คณะสงฆ์ก่อนกรณี
น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติออกกฎหมายลงโทษทางอาญาสำหรับคนที่เข้ามาบวชแล้วทำชั่ว
นอกจากถูกโทษทางวินัยสงฆ์แล้ว ยังต้องได้รับการลงโทษทางคดีอาญาด้วยนั้น
เมื่อวันที่ 17
ตุลาคม พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี
ให้สัมภาษณ์ว่า เห็นด้วยกับการออกกฎหมายเอาผิดทางอาญาพระสงฆ์ที่ทำชั่ว เช่น
ไปยุ่งกับสีกาโดยเฉพาะถ้าพาสีกามามีอะไรกันถึงในกุฏิภายในวัด ควรจะลงโทษทั้ง 2
ฝ่ายทั้งพระสงฆ์ที่ทำผิดและสีกา โดยเฉพาะสีกาเพราะทั้งๆ
ที่รู้ว่ายุ่งกับพระแล้วทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสีย
ก็ยังมายุ่งเพราะคิดว่าตัวเองรักชอบ แม้จะเป็นพระสงฆ์
"การออกกฎหมายนี้พูดกันมานานแล้ว
จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครทำออกมา อยากให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเร่งๆ ทำออกมา
จะช่วยคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้เข้มแข็งและมั่นคงเพราะการที่พระสงฆ์ทำผิด เช่น
ไปยุ่งกับสีกาเป็นเรื่องที่บั่นทอนและทำลายความมั่นคงของพระพุทธศาสนาอย่างมาก
แต่กลับถูกลงโทษทางสงฆ์แค่จับสึกเท่านั้น ไม่มีโทษอาญาอะไร หากมีกฎหมายนี้ออกมาจะทำให้พระสงฆ์
ประชาชนเกรงกลัวกัน ไม่กล้าทำชั่ว ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในทางที่ดี
เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่พุทธศาสนา คนก็จะได้สบายใจด้วย"
พระราชธรรมนิเทศ กล่าว นางจุฬารัตน์ บุณยากร
รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนี้ตามที่
น.พ.เกษม เสนอ แต่ถ้าจะทำออกมาคงต้องร่างขึ้นมาเป็นกฎหมายใหม่
เพราะปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่เอาผิดพระสงฆ์ในทางอาญา
จะจัดทำกฎหมายนี้ออกมาหรือไม่ จะหารือกับฝ่ายรัฐและฝ่ายคณะสงฆ์ก่อน
นายปรีชา
กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า
เห็นด้วยกับการออกฎหมายเอาผิดพระสงฆ์ที่แอบแฝงเข้ามาบวชแล้วทำชั่ว เช่น
พระสงฆ์ที่อยู่ในกุฏิกับสีกาสองต่อสอง หรือไปยุ่งเกี่ยวกับสีกา
จะมีความผิดแค่ทางวินัยสงฆ์มีโทษสูงสุดจับสึกเท่านั้น ทั้งๆ
ที่จริงแล้วนอกจากถูกจับสึกแล้วควรถูกลงโทษทางอาญาด้วย และจะต้องเอาผิดสีกาที่ไปยุ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์ด้วย
เพื่อจะได้ไม่กล้าทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสีย พระพรหมสุธี กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.)
กล่าวว่า หากพระสงฆ์ทำผิด เช่น ไปยุ่งเกี่ยวกับสีกาที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
ก็มีโทษทางวินัยสงฆ์สูงสุดจับสึก แต่หากจะเอาผิดทางโลกให้ดำเนินคดีอาญาด้วยโดยออกเป็นกฎหมายนั้น
คงเป็นเรื่องของฝ่ายบ้านเมืองที่จะต้องดำเนินการ
ฎีกาที่
736/2505
จำเลยขณะเป็นพระภิกษุได้ร่วมประเวณีกับหญิงในกุฏิของของจำเลยบนเขาวัง
จังหวัดเพชรบุรี มีกุฏิของพระภิกษุอื่นๆอยู่ใกล้เคียงหลายหลัง และมีพระพุทธรูป
อยู่บนเขาวัง เห็นได้ว่าเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
แต่จะถือว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนาตามมาตรา 206 ยังไม่ได้ถนัด
(ฎีกาข้อนี้บอกยังไม่ถนัด แต่ภาพพจน์พระสงฆ์เสียหายถนัดแน่ๆ .... แหมทำไปได้ !!!!
)
ส่วนใหญ่ที่เป็นข่าวกันนั้น
มักจะไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดทางเพศ
เพราะการที่พระสงค์หลับนอนกับสีกาด้วยความสมัครใจโดยสีกานั้นอายุเกินยี่สิบปีแล้ว
ไม่เป็นความผิด เหมือน ๆ กับคนทั่วไป ซึ่งก็ไม่มีความผิดเช่นเดียวกัน
การที่ตำรวจจับสึกก็เพราะเป็นการผิดวินัย และพระท่านดำเนินการสึกกันเองตามพระธรรมวินัยของท่าน
การจะไปตรากฎหมายกำหนดให้พระต้องได้รับโทษสูงกว่าคนทั่วไป
จะกระทำไม่ได้เพราะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
มีชัย
ฤชุพันธุ์
12
พฤษภาคม 2550
เดลินิวส์ 13 มิถุนายน 2554
ตร.ปราจีน จับสึกพระแสบขับกระบะพาสีกาเข้าม่านรูดเสพกามวันนี้
(13 มิ.ย.)
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมือง
จ.ปราจีนบุรี
ได้รับแจ้งว่ามีรถกระบะต้องสงสัย ยี่ห้อโตโยต้า สีดำ ทะเบียน บน 3359
ปราจีนบุรี
พาหญิงสาวเข้าโรงแรมม่านรูด ต.ดงพระราม อาจเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หลังจากรับแจ้ง พ.ต.ท.ศักดิ์ชัย ภูเดช สว.สส
จึงได้รายงานพล.ต.ต.อัครชัย พงษ์ศิริ ผบก.ภ.จว. พ.ต.อ.นพดล สุทธิเสริม
พ.ต.ท.บุญสม จิตรนิยมเสน รอง ผกก.ป. เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พบว่ารถคันดังกล่าวเข้ารับบริการที่ห้องหมายเลข 6
ทางเจ้าหน้าที่จึงเข้าไปเคาะประตูเรียก อยู่นาน
จึงมีชายหัวโล้นนุ่งผ้าเช็ดตัวเปิดประตูออกมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัว
พร้อมให้ชายดังกล่าวเปิดภายในรถเพื่อตรวจสอบ พบจีวร
สบงของพระภิกษุสงฆ์อยู่ภายในถุง
ต่อมาจึงได้เข้าไปตรวจสอบภายในห้องพัก
ยังพบเครื่องนุ่งห่มของพระภิกษุ 1
ชุด ซุกซ่อนอยู่ใต้ที่นอน ส่วนโต๊ะหัวเตียงพบถุงยางอนามัยจำนวน 7
ถุง และใช้ไปแล้ว 1
ถุง ในห้องน้ำพบน.ส.ณัฐพร ขอเงินกลาง
อายุ 32 ปี
บ้านเลขที่ 70 หมู่ 11 ต.บ้านนา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
ซ่อนตัวอยู่จากการสอบสวนทราบว่า
ชายดังกล่าวเป็นพระกุลประเสริฐ
ฐานิโย หรือ นายกุลประเสริฐ พวงมาลีประดับ อายุ 43 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 347 หมู่ 9 ต.วังท่าช้าง
อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี อดีตเป็นตำรวจ รุ่น 25 ชลบุรี
และได้ออกจากราชการ มาประกอบอาชีพส่วนตัว
ต่อมาได้บวชเป็นพระและได้รู้จักกับน.ส.ณัฐพร ซึ่งในเช้าวันนี้ได้พากันมาเปิดห้องเพื่อหลับนอน
โดยไม่ได้ทำสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด
เพียงแต่ทำผิดเรื่องวินัยสงฆ์เท่านั้น
พร้อมยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปสึกต่อไป.
1 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น