วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา


ตอน อรหันต์เปลือย โดย Jit (พลังใจ)

   ในยุคสมัยนั้น  คำว่า "พระอรหันต์" เป็นคำที่ประชาชนกล่าวขานกันทั่วไปว่า มีอยู่ที่โน่นบ้าง มีอยู่ที่นี่บ้าง  แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดได้เคยพบพระอรหันต์จริง ๆ เลย  พอได้เห็นพาหิยะผู้นุ่งเปลือกไม้  มีร่างกายผ่ายผอม ถือแผ่นกระเบื้องเดินมาในลักษณะอย่างนั้น  ต่างก็พากันเข้าใจว่า "นี่แหละคือพระอรหันต์" 
ดังนั้น จึงพากันให้อาหารบริโภคอย่างอุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม  ทำให้พาหิยะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น  และเกิดความคิดว่า ที่ได้อาหารมาบริโภคอุดมสมบูรณ์ ก็เพราะการเปลือยกาย  ถ้าสวมใส่เสื้อผ้าแล้ว จะทำให้เสื่อมจากลาภสักการะ  ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ยอมรับเสื้อผ้ามาสวมใส่  อีกทั้งเริ่มเข้าใจผิด คิดว่าตนเป็นพระอรหันต์จริงๆ   จึงดำรงชีวิตและปฏิบัติตนไปตามนั้น  ใบไม้และเปลือกไม้ที่แห้งแล้วก็เปลี่ยนใหม่
   ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้นามต่อท้ายชื่อของท่านว่า "ทารุจิริยะ"  และเรียกชื่อท่านเต็ม ๆ ว่า "พาหิยทารุจิริยะ"   ซึ่งแปลว่า "พาหิยะ ผู้มีเปลือกไม้เป็นเครื่องนุ่งห่ม"   และท่านได้ดำเนินชีวิต โดยทำนองนี้เรือยมาเป็นเวลานาน
   พระพรหมมาเตือนให้กลับใจ
   วันหนึ่ง  ได้มีพระพรหม ผู้เคยเป็นสหายเก่าที่เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันในอดีตชาติกับพาหิยะ  และได้บรรลุธรรมถึงขั้นอนาคามิผล  เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาส  ได้ติดตามดูพฤติกรรมของพาหิยะมาตลอด   เห็นว่าสหายกำลังปฏิบัติผิดทาง   ดำเนินชีวิตด้วยการลวงโลก  ซึ่งจะทำให้เขาไปเกิดในทุคติอบายภูมิ  จึงลงมากล่าวตักเตือนให้สติว่า..   "พาหิยะ  ท่านไม่ใช่พระอรหันต์  บัดนี้  พระอรหันต์ที่แท้จริงเกิดขึ้นแล้วในโลก  ขณะนี้ พระองค์ประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร  เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล"   เดินทางทั้งวันทั้งคืน   พาหิยะ  ได้ฟังคำเตือนของพระพรหม  ผู้เป็นสหายเก่า แล้วเกิดความสลดใจในการกระทำของตนเอง  รู้สึกสำนึกผิด เลิกละการกระทำนั้น  และเกิดความปีติยินดีที่ทราบว่า  พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก  จึงรีบออกเดินทางจากท่าเรือสุปปารกะ  มุ่งสู่เมืองสาวัตถี  ซึ่งมีระยะทางถึง ๑๒๐ โยชน์ (๑๙๒ กม.)  ท่านเดินทางทั้งวันทั้งคืนอย่างรีบร้อน  เพื่อเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาให้เร็วที่สุด  เพราะไม่รู้แน่ว่า ความตายจะมาถึงเมื่อใด  ท่านเดินทางมาถึงเมืองสาวัตถี ในเวลารุ่งเช้าแล้ว  รีบตรงไปยังพระเขตวันมหาวิหาร   เมื่อได้ทราบว่า ขณะนี้ พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง  จึงรีบติดตามไปในเมือง และได้พบพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่  ด้วยความปีติยินดีอย่างที่สุด ได้เข้าไปกราบแทบพระบาท  แล้วกราบทูล ขอให้ทรงแสดงธรรมให้ฟัง   พระพุทธองค์ตรัสห้ามว่า

    "พาหิยะ  เวลานี้ มิใช่เวลาแสดงธรรม"   ตรัสรู้เร็วพลัน   พาหิยะ ได้พยายามกราบทูลอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง  พระบรมศาสดา จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ฟัง  โดยตรัสสอนให้สำรวมอินทรีย์ คือ เมื่อตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น  หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน  จมูกได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรสก็สักแต่ว่าลิ้มรส  และกายได้สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัสเท่านั้น  อย่ายินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น  และหมั่นสำเหนียก ศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ  ปัญญา  อยู่เป็นนิตย์   พาหิยะ ส่งกระแสจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนา  ก็ได้บรรลุพระอรหัตผลในทันที    ท่านได้กราบทูลขออุปสมบท  แต่พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณว่า "ในอดีตชาติ  ท่านพาหิยะไม่เคยทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสามเณร ด้วยบาตรและจีวรเลย   เมื่อบวชแล้ว  บาตรและจีวรที่จะเกิดด้วยบุญฤทธิ์ก็จะไม่มี  จึงรับสั่งให้ท่านไปหาบาตรและจีวร มาให้ครบก่อน"   ในขณะที่ ท่านกำลังแสวงหาบาตรและจีวรอยู่นั้น   ได้ถูกอมนุษย์ ผู้เคยเป็นศัตรูกันมาแต่อดีตชาติ  เข้าสิงร่างแม่โคลูกอ่อนวิ่งเข้าขวิด  ท่านตายที่ริมทางนั้น  นับว่า ท่านเข้าสู่นิพพานตั้งแต่ยังไม่ได้บวช   พระพุทธองค์ เสด็จกลับจากบิณฑบาต  ทอดพระเนตรเห็นศพของท่านนอนอยู่ริมทาง  จึงรับสั่งให้ภิกษุที่ติดตามเสด็จมา จัดการฌาปนกิจให้ท่าน   และทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ขิปปาภิญญา  คือ ตรัสรู้เร็วพลัน.



0 ความคิดเห็น:

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More