วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา


ตอน  พระสุภูติ  โดย Jit (พลังใจ)


พระสุภูติ  เกิดในวรรณะแพศย์  เป็นบุตรของสุมนเศรษฐีผู้เป็นน้องชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในนครสาวัตถี  ท่านเป้นผู้มีลักษณะดีผิวพรรณผ่องใสสะอาดสวยงาม  จึงได้นามว่า "สุภูติ" ซึ่งถือว่าเป็นมงคลนาม มีความหมายว่า "ผู้เกิดดีแล้ว"
   ออกบวชคราวฉลองพระเชตวัน
   เหตุการณ์ที่ชักนำให้ท่านได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ก็เนื่องมาจากในคราวเมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นลุง  ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขณะประทับอยู่ ณ ป่าสีตวัน เมืองราชคฤห  และได้ฟังพระธรรมเทศนา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  แล้วกราบทูลอราธนาพระผู้มีพระภาค เพื่อแสดงโปรดชาวกรุงสาวัตถี  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้ว รีบเดินทางกลับมาสู่กรุงสาวัตถี ได้จัดซื้อที่ดิน อันเป็นราชอุทยานของเจ้าชายเชตราชกุมาร ด้วยวิธีนำเงินมาวางเรียงให้เต็มพื้นที่ดินตามที่ต้องการ ปรากฏว่า  อนาถบิณฑิกเศรษฐีต้องใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ  จึงได้พื้นที่ดินพอแก่ความต้องการ จำนวน ๑๘กรีส (๑ กรีส=๑๒๕ ศอก)  และใช้เงินอีก ๒๗ โกฏิ สร้างพระคันธกุฎีที่ประทับสำหรับพระผู้มีพระภาค และเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์สาวก  แต่ยังขาดพื้นที่ดินเพื่อสร้างซุ้มประตูพระอาราม  เจ้าชายเชตราชกุมาร มีศรัทธาปรารถนาจะมีส่วนร่วมในการสร้างวัด จึงขอมอบพื้นที่ดินพร้อมทั้งจัดสร้างให้ด้วย  โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ไว้ที่ซุ้มประตูพระอารามนั้นว่า "เชตวัน"  ดังนั้น พระอารามที่อนาถบิณฑิกะเป็นผู้สร้าง จึงได้นามว่า "พระเชตวันมหาวิหาร"   ในวันที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จัดพิธีฉลองพระวิหารเชตวันนั้น  ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคมาเสวยภัตตาหาร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์  ส่วนสุภูติกฏุมพี ผู้เป็นหลาน ก็ได้ติดตามไปร่วมพิธีช่วยงานนี้ด้วย  ครั้นได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี ที่เปล่งออกจากพระวรกายของพระบรมศาสดาสวยงามเรืองรองไปทั่วบริเวณ ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส  เมื่อการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ โดยมีพระพุทธองค์เป้นประมุขเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมกถาอนุโมทนาทาน  สุภูติกฎุมพี ได้ฟังแล้วยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น  จึงกราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย ครั้นได้อุปสมบทสมความปรารถนาแล้ว ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกจนเชี่ยวชาญ  จากนั้นได้เรียนพระกรรมฐานจากพระบรมศาสดาแล้ว หลีกออกไปบำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่า ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล สิ้นกิเลสาสวะ เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา   พักกลางแจ้ง ฝนจึงแห้งแล้ง   พระสุภูติเถระ โดยปกติแล้วมักจะเข้าฌานสมาบัติ  เพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากการสิ้นกิเลส  ท่านประกอบด้วยคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ..   ๑.อรณวิหารธรรม  คือ เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา อันหมายถึงการเป็นอยู่อย่างไม่มีข้าศึกศัตรู  ๒.ทักขิเณยยบุคคล คือ เป็นผู้ควรแก่การรับทักษิณาทาน
   เพราะท่านมีปฏิปทานำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น อันเป็นการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางหนึ่ง  แม้แต่พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อได้ทรงทราบว่า ท่านเป็นผู้มีปกติเข้าฌานที่ประกอบด้วยเมตตาเป็นประจำ  ไม่เว้นแม้แต่ในขณะบิณฑบาต  ก็ยังแผ่เมตตาให้แก่ผู้ถวายอาหารบิณฑบาตอย่างทั่วถึง  ครั้นเมื่อพระเถระจาริกมาถึงแคว้นมคธ  พระเจ้าพิมพิสารจึงได้อาราธนาให้ท่านจำพรรษาที่แคว้นมคธ  และท่านก็รับอาราธนาตามนั้น   แต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระราชกิจมาก  จึงลืมรับสั่งให้จัดเสนาสนะสถานที่พักถวายท่าน  ดังนั้น  เมื่อท่านมาถึงแล้ว จึงไม่มีที่พัก ท่านจึงต้องพักกลางแจ้ง  ด้วยอำนาจแห่งคุณธรรมของท่าน จึงทำให้ดินฟ้าอากาศปรวนแปร  ฝนไม่ตกตามฤดูกาล  ชาวไร่ชาวนาปลูกพืชผลไม่ได้ผลผลิต ต้องเดือดร้อนกันไปทั่ว  ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสาร ทรงใคร่ครวญทบทวนแล้วทราบชัดว่า เพราะพระเถระจำพรรษากลางแจ้ง จึงเป็นเหตุให้ฝนแล้งไปทั่ว  ดังนั้น จึงทรงรีบแก้ไขด้วยการรับสั่งให้สร้างกุฎีถวายท่านโดยด่วน เมื่อกุฎีสำเร้จแล้ว  จึงได้อาราธนาท่านให้เข้าพักอาศัยอยู่จำพรรษาในกุฎีนั้น  จากนั้นฝนก็ตกลงมา  ชาวประชาก็พากันดีใจ ปลูกพืช ผัก ผลไม้ ก็ได้ผลผลิตดีตามต้องการ ความทุกข์ ความเดือดร้อนก็หายไป.   ด้วยเหตุนี้  พระผู้มีพระภาคจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง อรณวิหาร (เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา)  และ ทักขิเณยยบุคคล (เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน)
 ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนา สมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.

0 ความคิดเห็น:

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More