ตอน
พระสุภูติ โดย Jit (พลังใจ)
พระสุภูติ เกิดในวรรณะแพศย์
เป็นบุตรของสุมนเศรษฐีผู้เป็นน้องชายของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ในนครสาวัตถี
ท่านเป้นผู้มีลักษณะดีผิวพรรณผ่องใสสะอาดสวยงาม จึงได้นามว่า "สุภูติ"
ซึ่งถือว่าเป็นมงคลนาม มีความหมายว่า "ผู้เกิดดีแล้ว"
ออกบวชคราวฉลองพระเชตวัน
เหตุการณ์ที่ชักนำให้ท่านได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ก็เนื่องมาจากในคราวเมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นลุง ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ขณะประทับอยู่ ณ ป่าสีตวัน เมืองราชคฤห
และได้ฟังพระธรรมเทศนา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วกราบทูลอราธนาพระผู้มีพระภาค
เพื่อแสดงโปรดชาวกรุงสาวัตถี
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาแล้ว รีบเดินทางกลับมาสู่กรุงสาวัตถี
ได้จัดซื้อที่ดิน อันเป็นราชอุทยานของเจ้าชายเชตราชกุมาร
ด้วยวิธีนำเงินมาวางเรียงให้เต็มพื้นที่ดินตามที่ต้องการ ปรากฏว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐีต้องใช้เงินถึง ๒๗ โกฏิ จึงได้พื้นที่ดินพอแก่ความต้องการ จำนวน ๑๘กรีส
(๑ กรีส=๑๒๕ ศอก) และใช้เงินอีก ๒๗ โกฏิ
สร้างพระคันธกุฎีที่ประทับสำหรับพระผู้มีพระภาค และเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์สาวก แต่ยังขาดพื้นที่ดินเพื่อสร้างซุ้มประตูพระอาราม เจ้าชายเชตราชกุมาร
มีศรัทธาปรารถนาจะมีส่วนร่วมในการสร้างวัด จึงขอมอบพื้นที่ดินพร้อมทั้งจัดสร้างให้ด้วย
โดยขอให้จารึกพระนามของพระองค์ไว้ที่ซุ้มประตูพระอารามนั้นว่า
"เชตวัน" ดังนั้น
พระอารามที่อนาถบิณฑิกะเป็นผู้สร้าง จึงได้นามว่า "พระเชตวันมหาวิหาร" ในวันที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
จัดพิธีฉลองพระวิหารเชตวันนั้น ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคมาเสวยภัตตาหาร
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ส่วนสุภูติกฏุมพี
ผู้เป็นหลาน ก็ได้ติดตามไปร่วมพิธีช่วยงานนี้ด้วย
ครั้นได้เห็นพระฉัพพรรณรังสี ที่เปล่งออกจากพระวรกายของพระบรมศาสดาสวยงามเรืองรองไปทั่วบริเวณ
ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส
เมื่อการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์
โดยมีพระพุทธองค์เป้นประมุขเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมกถาอนุโมทนาทาน
สุภูติกฎุมพี ได้ฟังแล้วยิ่งเกิดศรัทธามากขึ้น จึงกราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย
ครั้นได้อุปสมบทสมความปรารถนาแล้ว ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกจนเชี่ยวชาญ จากนั้นได้เรียนพระกรรมฐานจากพระบรมศาสดาแล้ว
หลีกออกไปบำเพ็ญสมณธรรม เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่า
ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล สิ้นกิเลสาสวะ
เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา
พักกลางแจ้ง ฝนจึงแห้งแล้ง
พระสุภูติเถระ โดยปกติแล้วมักจะเข้าฌานสมาบัติ เพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากการสิ้นกิเลส ท่านประกอบด้วยคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ.. ๑.อรณวิหารธรรม คือ เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา
อันหมายถึงการเป็นอยู่อย่างไม่มีข้าศึกศัตรู
๒.ทักขิเณยยบุคคล คือ เป็นผู้ควรแก่การรับทักษิณาทาน
เพราะท่านมีปฏิปทานำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น
อันเป็นการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางหนึ่ง
แม้แต่พระเจ้าพิมพิสาร เมื่อได้ทรงทราบว่า
ท่านเป็นผู้มีปกติเข้าฌานที่ประกอบด้วยเมตตาเป็นประจำ ไม่เว้นแม้แต่ในขณะบิณฑบาต ก็ยังแผ่เมตตาให้แก่ผู้ถวายอาหารบิณฑบาตอย่างทั่วถึง ครั้นเมื่อพระเถระจาริกมาถึงแคว้นมคธ
พระเจ้าพิมพิสารจึงได้อาราธนาให้ท่านจำพรรษาที่แคว้นมคธ และท่านก็รับอาราธนาตามนั้น
แต่เนื่องจากพระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระราชกิจมาก
จึงลืมรับสั่งให้จัดเสนาสนะสถานที่พักถวายท่าน ดังนั้น
เมื่อท่านมาถึงแล้ว จึงไม่มีที่พัก ท่านจึงต้องพักกลางแจ้ง ด้วยอำนาจแห่งคุณธรรมของท่าน
จึงทำให้ดินฟ้าอากาศปรวนแปร
ฝนไม่ตกตามฤดูกาล
ชาวไร่ชาวนาปลูกพืชผลไม่ได้ผลผลิต ต้องเดือดร้อนกันไปทั่ว ความทราบถึงพระเจ้าพิมพิสาร
ทรงใคร่ครวญทบทวนแล้วทราบชัดว่า เพราะพระเถระจำพรรษากลางแจ้ง
จึงเป็นเหตุให้ฝนแล้งไปทั่ว ดังนั้น
จึงทรงรีบแก้ไขด้วยการรับสั่งให้สร้างกุฎีถวายท่านโดยด่วน
เมื่อกุฎีสำเร้จแล้ว
จึงได้อาราธนาท่านให้เข้าพักอาศัยอยู่จำพรรษาในกุฎีนั้น จากนั้นฝนก็ตกลงมา ชาวประชาก็พากันดีใจ ปลูกพืช ผัก ผลไม้
ก็ได้ผลผลิตดีตามต้องการ ความทุกข์ ความเดือดร้อนก็หายไป. ด้วยเหตุนี้
พระผู้มีพระภาคจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง อรณวิหาร (เจริญฌานประกอบด้วยเมตตา) และ ทักขิเณยยบุคคล (เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน)
ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนา
สมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น