วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ลักษณะของยมกปาฏิหาริย์



ลักษณะของยมกปาฏิหาริย์
         "๑ ญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคตเป็นไฉน ?       ในญาณนี้พระตถาคตทรงทำยมกปาฏิหาริย์    ไม่ทั่วไปด้วยพวกสาวก;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องบน,    สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องล่าง;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องล่าง,   สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องบน;   ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหน้า,    สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องหลัง;ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องหลัง,      สายน้ำไหลออกแต่พระกายเบื้องหน้า; ท่อไฟพลุ่งออกเเต่พระเนตรเบื้องขวาสายน้ำไหลออกแต่พระเนตร
เบื้องซ้าย;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระเนตรเบื้องซ้าย,     สายน้ำไหลออกแต่พระเนตรเบื้องขวาท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา,    สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องซ้าย;     ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องซ้าย;   สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระกรรณเบื้องขวา,   ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องขวา;    สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย;ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระนาสิกเบื้องซ้าย,     สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระ-นาสิกเบื้องขวาท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวาสายน้ำไหลออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องซ้าย; ท่อไฟพลุ่งออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องซ้าย,    สายน้ำไหลออกแต่จะงอยพระอังสาเบื้องขวา;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระหัตถ์เบื้องขวา,    สายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้าย;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระหัตถ์เบื้องซ้ายสายน้ำไหลออกแต่พระหัตถ์เบื้องขวาท่อไฟพลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องขวา;    สายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้าย;
๑.  ขุ.   ปฏิ.  ๓๐/๑๘๓.
 ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระปรัศว์เบื้องซ้ายสายน้ำไหลออกแต่พระปรัศว์เบื้องขวาท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องขวา,    สายน้ำไหลออกเเต่พระบาทเบื้องซ้าย;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระบาทเบื้องซ้าย,     สายน้ำไหลออกแต่พระบาทเบื้องขวา;    ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระองคุลี,     สายน้ำไหลออกแต่ช่องพระองคุลี;   ท่อไฟพลุ่งออกแต่ช่องพระองคุลี,    สายน้ำไหลออกจากพระองคุลี;    ท่อไฟพลุ่งออกแค่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ.  สายน้ำไหลออกแต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ,      ท่อไฟพลุ่งออกแต่พระโลมาเส้นหนึ่ง ๆ,สายน้ำไหลออกแต่ขุมพระโลมาขุมหนึ่ง ๆ.    รัศมีทั้งหลาย    ย่อมเป็นไปด้วยสามารถแห่งสี ๖ อย่าง คือ เขียว เหลือง แดง ขาว  หงสบาท  ปภัสสร;พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม.  พระพุทธนิรมิตย่อมยืนหรือนั่งหรือสำเร็จการนอน; (พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืน พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม นั่งหรือสำเร็จการนอน,   พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง  พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม   ยืนหรือสำเร็จการนอน;     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จสีหไสยา
พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรม ยืนหรือนั่งพระพุทธนิรนิตจงกรม. พระผู้มี-พระภาคเจ้า  ย่อมทรงยืน  ประทับนั่ง   หรือสำเร็จสีหไสยา;   พระพุทธ-นิรมิตทรงยืน.  พระผู้มีพระภาคเจ้า  ย่อมทรงจงกรม  ประทับนั่งหรือทรงสำเร็จสีหไสยา;).  พระพุทธนิรมิตประทับนั่งพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงจงกรม  ประทับยืน  หรือสำเร็จสีหไสยา    พระพุทธนิรมิตสำเร็จสีหไสยา.พระผู้มีพระภาคย่อมทรงจงกรม   ประทับยืน   หรือประทับนั่ง.    นี้เป็นญาณในยมกปาฏิหาริย์ของพระตถาคต. "
          ก็พระศาสดาเสด็จจงกรมบนที่จงกรมนั้น ได้ทรงทำปาฏิหาริย์นี้ แล้ว.  เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น " ท่อไฟย่อมพลุ่งออกแต่พระกายเบื้องบนด้วยอำนาจเตโชกสิณสมาบัติของพระศาสดานั้น.   สายน้ำไหลออกแต่พระ-กายเบื้องล่าง  ด้วยอำนาจอาโปกสิณสมาบัติท่อไฟพลุ่งออกแต่ที่ ๆ สาย น้ำไหลออกแล้วอีก,        และสายน้ำก็ไหลออกแต่ที่ ๆ  ท่อไฟพลุ่งออก พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า " เหฏฺิมกายโต  อุปริมกายโต. "   นัยในบททั้งปวงก็เช่นนี้.    ก็ในยมกปาฏิหาริย์นี้     ท่อไฟมิได้เจือปนกับสายน้ำเลย,อนึ่ง  สายน้ำก็มิได้เจือด้วยท่อไฟก็นัยว่าท่อไฟและสายน้ำทั้งสองนี้   พลุ่งขึ้นไปตลอดถึงพรหมโลก   แล้วก็ลุกลามไปที่ขอบปากจักรวาล.   ก็เพราะเหตุที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า " ฉนฺน  วณฺณานํ "   พระรัศมีพรรณะ๖ ประการของพระศาสดานั้น   พลุ่งขึ้นไปจากห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง   ดุจทองคำละลายคว้าง    ซึ่งกำลังไหลออกจากเบ้า    และดุจสายน้ำแห่งทองคำที่ไหลออกจากทะนานยนต์   จดพรหมโลกแล้วสะท้อนกลับมาจดขอบปาก
จักรวาลตามเดิม.    ห้องแห่งจักรวาลหนึ่ง    ได้เป็นดุจเรือนต้นโพธิที่ตรึงไว้ด้วยซี่กลอนอันคด  มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน.         ในวันนั้น  พระศาสดาเสด็จจงกรมทรงทำ  (ยมก)  ปาฏิหาริย์แสดงธรรมกถาแก่มหาชนในระหว่าง ๆและเมื่อทรงแสดงไม่ทรงทำให้มหาชนให้หนักใจ   ประทานให้เบาใจยิ่ง.  ในขณะนั้น  มหาชนยังสาธุการให้เป็นไปแล้ว.  ในเวลาที่สาธุการของมหาชนนั้นเป็นไป  พระศาสดาทรงตรวจดูจิตของบริษัทซึ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ได้ทรงทราบวาระจิตของคนหนึ่ง ๆ ด้วย
๑.  นิรสฺสาสํ   ให้มีความโล่งใจออกแล้ว. อำนาจอาการ ๑๖ อย่าง.    จิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นไปเร็วอย่างนี้, บุคคลใด ๆ เลื่อมใสในธรรมใด   และในปาฏิหาริย์ใด.    พระศาสดาทรงแสดงธรรม   และได้ทรงทำปาฏิหาริย์ด้วยอำนาจอัธยาศัยแห่งบุคคลนั้น ๆ.เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรม        และทรงทำปาฏิหาริย์ด้วยอาการอย่างนี้ธรรมาภิสมัยได้มีแก่มหาชนแล้ว.  ก็พระศาสดาทรงกำหนดจิตของพระองค์
ไม่ทรงเห็นคนอื่นผู้สามารถจะถามปัญหาในสมาคมนั้น  จึงทรงนิรมิตพระ-พุทธนิรมิต.      พระศาสดาทรงเฉลยปัญหาที่พระพุทธนิรมิตนั้นถามแล้ว.พระพุทธนิรมิตนั้นก็เฉลยปัญหาที่พระศาสดาตรัสถามแล้ว.        ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจงกรม      พระพุทธนิรมิตสำเร็จอิริยาบถมีการยืนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.    ในเวลาที่พระพุทธนิรมิตจงกรม    พระผู้มี-พระภาคเจ้าทรงสำเร็จพระอิริยาบถ   มีการประทับยืนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.     เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น    พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า " พระพุทธนิรมิตย่อมจงกรมบ้าง "   เป็นต้น .ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๒๐  โกฏิในสมาคมนั้น  เพราะเห็น
ปาฏิหาริย์ของพระศาสดา  ผู้ทรงทำอยู่อย่างนั้น  และเพราะได้ฟังธรรมกถา.                  



พระศาสดาเสด็จจำพรรษาชั้นดาวดึงส์
         พระศาสดากำลังทรงทำปาฏิหาริย์อยู่นั่นแล    ทรงรำพึงว่า " พระ-พุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย  ทำปาฏิหาริย์นี้แล้ว   จำพรรษาที่ไหนหนอแล ? "ทรงเห็นว่า   " จำพรรษาในภพดาวดึงส์     แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระพุทธมารดา "    ดังนี้แล้ว     ทรงยกพระบาทขวาเหยียบเหนือยอดภูเขายุคันธร  ทรงยกพระบาทอีกข้างหนึ่งเหยียบเหนือยอดเขาสิเนรุ วาระที่ย่างพระบาท ๓ ก้าว  ได้มีแล้วในที่ ๖๘ แสนโยชน์อย่างนี้.  ช่องพระบาท ๒ ช่อง    ได้ถ่างออกเช่นเดียวกันกับการย่างพระบาทตามปกติ.     ใคร ๆ ไม่พึงกำหนดว่า " พระศาสดาทรงเหยียดพระบาทเหยียบแล้ว.   เพราะในเวลาที่พระองค์ทรงยกพระบาทนั่นแหละ     ภูเขาเหล่านั้นก็มาสู่ที่ใกล้พระ-บาทรับไว้แล้ว,    ในเวลาที่พระศาสดาทรงเหยียบแล้ว     ภูเขาเหล่านั้นก็ตั้งประดิษฐานในที่เดิม.   ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระศาสดาแล้ว   ทรง ดำริว่า  " พระศาสดาจักทรงเข้าจำพรรษานี้   ในท่ามกลางบัณฑุกัมพลสิลา.อุปการะจักมีแก่เหล่าเทพดามากหนอ.      แต่เมื่อพระศาสดาทรงจำพรรษาที่นั่น    เทพดาอื่น ๆ จักไม่อาจหยุดมือได้;    ก็แลบัณฑุกัมพลสิลานี้    ยาว
๖๐ โยชน์  กว้าง  ๕๐ โยชน์  หนา ๑๕ โยชน์  แม้เมื่อพระศาสดาประทับนั่งแล้ว  ก็คงคล้ายกับว่างเปล่า."  พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอทรงโยนสังฆาฏิของพระองค์ไปให้คลุมพื้นศิลาแล้ว.   ท้าวสักกะทรงดำริว่า" พระศาสดาทรงโยนจีวรมาให้คลุมไว้ก่อน.   ก็พระองค์จักประทับนั่งในที่นิดหน่อยด้วยพระองค์เอง. "      พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท้าวเธอจึงประทับนั่งทำบัณฑุกัมพลสิลาไว้ภายในขนดจีวรนั่นเอง    ประหนึ่งภิกษุผู้ทรงผ้ามหาบังสุกุล  ทำตั่งเตี้ยไว้ภายในขนดจีวรฉะนั้น.   ขณะนั้นเอง  แม้มหาชนแลดูพระศาสดาอยู่    ก็มิได้เห็น.    กาลนั้น    ได้เป็นประหนึ่งเวลาพระจันทร์ตก.  และได้เป็นเหมือนเวลาพระอาทิตย์ตก.  มหาชนคร่ำครวญกล่าวคาถานี้ว่า :-
                        " พระศาสดาเสด็จไปสู่เขาจิตรกูฏ        หรือสู่เขา
                    ไกรลาส   หรือสู่เขายุคันธร,   เราทั้งหลายจึงไม่เห็น
                    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า     ผู้โลกเชษฐ์     ผู้ประเสริฐ กว่านระ. "

               อีกพวกหนึ่งกำลังคร่ำครวญว่า  "ชื่อว่าพระศาสดา   ทรงยินดีแล้ว  ในวิเวก,   พระองค์จักเสด็จไปสู่แคว้นอื่น  หรือชนบทอื่นเสียแล้ว   เพราะทรงละอายว่า  'เราทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้   แก่บริษัทเห็นปานนี้,'  บัดนี้เราทั้งหลายคงไม่ได้เห็นพระองค์"   ดังนี้  กล่าวคาถานี้ว่า:-
                        "พระองค์ผู้เป็นปราชญ์      ทรงยินดีแล้วในวิเวก
              จักไม่เสด็จกลับมาโลกนี้อีก.    เราทั้งหลายจะไม่เห็น
              พระสัมมาสัมพุทธเจ้า     ผู้โลกเชษฐ์     ผู้ประเสริฐ
              กว่านระ"   ดังนี้.
         ชนเหล่านั้นถามพระมหาโมคคัลลานะว่า  " พระศาสดาเสด็จไปที่ไหน  ขอรับ"  ท่านแม้ทราบอยู่เอง  ก็ยังกล่าวว่า " จงถามพระอนุรุทธเถิด" ด้วยมุ่งหมายว่า    "คุณแม้ของสาวกอื่น ๆ  จงปรากฏ"     ดังนี้.
ชนเหล่านั้นถามพระเถระอย่างนั้นว่า " พระศาสดาเสด็จไปที่ไหน"ขอรับ. " 
         อนุรุทธ.     เสด็จไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลสิลา    ในภพดาวดึงส์แล้วทรงแสดงอภิธรรมปิฎกแก่พระมารดา.   มหาชน.  จักเสด็จมาเมื่อไร ขอรับ.   อนุรุทธ.  ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกตลอด ๓ เดือนแล้ว  จักเสด็จมาในวันมหาปวารณา.  ชนเหล่านั้นพูดกันว่า  " พวกเราไม่ได้เห็นพระศาสดา   จักไม่ไป"ดังนี้แล้ว    ทำที่พักอยู่แล้วในที่นั้นนั่นเอง.   ได้ยินว่า    ชนเหล่านั้นได้มีอากาศนั่นเอง   เป็นเครื่องมุ่งเครื่องบัง   ชื่อว่าเหงื่อที่ไหลออกจากตัวของบริษัทใหญ่ถึงเพียงนั้น   มิได้ปรากฏแล้ว.    แผ่นดินได้แหวกช่องให้แล้ว.
 พื้นแผ่นดินในที่ทุกแห่ง    ได้เป็นที่สะอาดทีเดียว.    พระศาสดาได้ตรัสสั่ง พระมหาโมคคัลลานะไว้ก่อนทีเดียวว่า " โมคัลลานะ  เธอพึงแสดงธรรมแก่บริษัทนั่นจุลอนาถบิณฑิกะจักให้อาหาร. " เพราะเหตุนั้น  จุลอนาถ-บิณฑิกะแล     ได้ให้แล้วซึ่งข้าวต้ม   ข้าวสวย  ของเคี้ยว ของหอมระเบียบและเครื่องประดับ    แก่บริษัทนั้น     ทุกเวลาทั้งเช้าและเย็นตลอดไตรมาสนั้น.   พระมหาโมคคัลลานะแสดงธรรมแล้ว      วิสัชนาปัญหาที่เหล่าชนผู้มาแล้ว  ๆ  เพื่อดูปาฏิหาริย์ถามแล้ว.             
พระสัมพุทธเจ้าไพโรจน์ล่วงเหล่าเทวดา  เทวดาในหมื่นจักรวาล   แวดล้อมแม้พระศาสดา   ผู้ทรงจำพรรษา
ที่บัณฑุกัมพลสิลา       เพื่อทรงแสดงอภิธรรมแก่พระมารดา       เหตุนั้นพระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า :-                        " ในกาลใด พระพุทธเจ้า  ผู้เป็นยอดบุรุษประทับ
              อยู่เหนือบัณฑุกัมพลสิลา ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ ในภพ
              ดาวดึงส์, ในกาลนั้น   เทพดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ
              ประชุมพร้อมกันแล้วเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า    ผู้
              ประทับอยู่บนยอดเขา,        เทพดาองค์ไหน ๆ     ก็หา
              ไพโรจน์กว่าพระสัมพุทธเจ้าโดยวรรณะไม่,         พระ-
              สัมพุทธเจ้าเท่านั้น          ย่อมไพโรจน์ล่วงปวงเทพดา
              ทั้งหมด. "
         ก็เมื่อพระศาสดานั้น   ประทับนั่งครอบงำเทพดาทุกหมู่เหล่า   ด้วยรัศมีพระสรีระของพระองค์อย่างนี้        พระพุทธมารดาเสด็จมาจากวิมาน ชั้นดุสิต  ประทับนั่ง ณ พระปรัศว์เบื้องขวา.   แม้อินทกเทพบุตร   ก็มานั่งณ พระปรัศว์เบื้องขวาเหมือนกัน.   อังกุรเทพบุตรมานั่ง ณ พระปรัศว์เบื้อง-ซ้าย. อังกุรเทพบุตรนั้น เมื่อเทพดาทั้งหลายผู้มีศักดิ์ใหญ่ประชุมกัน  ร่นออกไปแล้ว     ได้โอกาสในที่มีประมาณ ๑๒ โยชน์.   อินทกเทพบุตรนั่งในที่นั่นเอง.   พระศาสดาทอดพระเนตรดูเทพบุตรทั้งสองนั้นแล้ว  มีพระประ-สงค์จะยังบริษัทให้ทราบความที่ทานอันบุคคลถวายแล้วแก่ทักขิไนยบุคคลในศาสนาของพระองค์    เป็นกุศลมีผลมาก    จึงตรัสอย่างนั้นว่า " อังกุระเธอทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ให้ทานเป็นอันมาก  ในกาลประมาณหมื่นปี
ซึ่งเป็นระยะกาลนาน.    บัดนี้เธอมาสู่สมาคมของเรา    ได้โอกาสในที่ไกลตั้ง ๑๒ โยชน์  ซึ่งไกลกว่าเทพบุตรทั้งหมดอะไรหนอแล   เป็นเหตุในข้อนี้ ? "  แท้จริงพระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย ก็ได้กล่าวไว้ดังนี้ว่า:-


                        " พระสัมพุทธเจ้า   ทอดพระเนตรอังกุรเทพบุตร    และอินทกเทพบุตรแล้ว        เมื่อจะทรงยกย่องทักขิ-ไณยบุคคล  ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า   ' อังกุระ   เธอให้ทานเป็นอันมาก     ในระหว่างกาลนาน,    เธอเมื่อ  มาสู่สำนักของเรา  นั่งเสียไกลลิบ. " พระศาสดาตรัสได้ยินถึงมนุษยโลก
        พระสุรเสียงนั้น  (ดัง)   ถึงพื้นปฐพี.   บริษัททั้งหมดนั้น  ได้ยินพระสุรเสียงนั้น.เมื่อพระศาสดาตรัสอย่างนั้นแล้ว   อังกุรเทพบุตร    อันพระศาสดาผู้มีพระองค์อันอบรมแล้วตรัสเตือนแล้ว   ได้กราบทูลคำนี้ว่า:-
                " ข้าพระองค์จะต้องการอะไร      ด้วยทานอันว่าง
              เปล่าจากทักขิไณยบุคคล  ยักษ์๑ชื่ออินทกะนี้นั้น ถวาย
              ทานแล้วนิดหน่อย    ยังรุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ดุจ
              พระจันทร์ในหมู่ดาว."                                
         บรรดาบทเหล่านั้น     บทว่า   ทชฺชา   แก้เป็น   ทตฺวา    (แปลว่า
ให้แล้ว).          
         เมื่ออังกุรเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว   พระศาสดาตรัสกะอินทกเทพบุตรว่า  " อินทกะ   เธอนั่งข้างขวาของเรา.    ไฉนจึงไม่ต้องร่นออกไปนั่งเล่า ? "  อินทกเทพบุตรกราบทูลว่า  " พระเจ้าข้า    ข้าพระองค์ได้ทักขิไณยสมบัติแล้ว    ดุจชาวนาหว่านพืชนิดหน่อยในนาดี "    ดังนี้แล้วเมื่อจะประกาศทักขิไณยบุคคล  จึงกราบทูลว่า :-" พืชแม้มาก       อันบุคคลหว่านแล้วในนาดอน  ผลย่อมไม่ไพบูลย์  ทั้งไม่ยังชาวนาให้ยินดี      ฉันใด, ทานมากมาย    อันบุคคลตั้งไว้ในหมู่ชนผู้ทุศีล    ผล          ย่อมไม่ไพบูลย์      ทั้งไม่ยังทายกให้ยินดี       ฉันนั้น
              เหมือนกัน; พืชแม้เล็กน้อย อันบุคคลหว่านแล้วในนา ดี   เมื่อฝนหลั่งสายน้ำถูกต้อง  (ตามกาล)  ผลก็ย่อมยังชาวนาให้ยินดีได้ ฉันใด,   เมื่อสักการะแม้เล็กน้อยอันทายกทำแล้วในเหล่าท่านผู้มีศีล         ผู้มีคุณคงที่ ผลก็ย่อมยังทายกให้ยินดีได้  ฉันนั้นเหมือนกัน."
๑.     เทพบุตรอันบุคคลพึงบูชา.      ทานที่ให้ในทักขิไณยบุคคลมีผลมาก
         ถามว่า   " บุรพกรรมของอินทกเทพบุตรนั้น      เป็นอย่างไร ? "   แก้ว่า  " ได้ยินว่า  อินทกเทพบุตรนั้นได้ให้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งที่เขานำมาแล้วเพื่อตน   แก่พระอนิรุทธเถระผู้เข้าไปบิณฑบาตภายในบ้าน.
บุญของเธอนั้น   มีผลมากกว่าทานที่อังกุรเทพบุตร    ทำแถวเตาไฟยาวตั้ง๑๒ โยชน์ ให้แล้วตั้งหมื่นปี,   เพราะเหตุนั้น  อินทกเทพบุตรจึงกราบทูลอย่างนั้น. "   เมื่ออินทกเทพบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว  พระศาสดาตรัสว่า" อังกุระ  การเลือกเสียก่อนแล้วให้ทานจึงควรทานนั้นย่อมมีผลมากด้วยอาการอย่างนี้     ดุจพืชที่เขาหว่านดีในนาดีฉะนั้น;    แต่เธอหาได้ทำอย่างนั้นไม่,   เหตุนั้น  ทานของเธอจึงไม่มีผลมาก "   เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้งจึงตรัสว่า :-
       " ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด       มีผลมาก,
              บุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตนั้น;   การเลือกให้   อัน
              พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว,   ทานที่บุคคลให้แล้วใน
              ทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย     ที่มีอยู่ในโลกคือหมู่สัตว์
              ที่ยังเป็นอยู่นี้ มีผลมาก เหมือนพืชที่บุคคลหว่านแล้ว
              ในนาดีฉะนั้น. "
เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไป  ได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า:-
                        " นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย    หมู่
              สัตว์นี้มีราคะเป็นเครื่องประทุษร้ายเพราะเหตุนั้นแล
              ทานที่บุคคลให้แล้ว        ในท่านที่มีราคะไปปราศแล้ว
              ทั้งหลาย  จึงมีผลมาก.   นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่อง

               ประทุษร้าย   หมู่สัตว์นี้มีโทสะเป็นเครื่องประทุษร้าย เพราะเหตุนั้นแล     ทานที่บุคคลให้แล้วในท่านผู้มีโทสะไปปราศแล้วทั้งหลาย จึงมีผลมาก.    นาทั้งหลาย มีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย     หมู่สัตว์นี้มีโมหะเป็นเครื่องประทุษร้าย.    เพราะเหตุนั้นแล    ทานที่บุคคลให้แล้วในท่านผู้มีโมหะไปปราศแล้วทั้งหลาย      จึงมี    ผลมาก.      นาทั้งหลายมีหญ้าเป็นเครื่องประทุษร้าย หมู่สัตว์นี้มีความอยากเป็นเครื่องประทุษร้าย    เพราะเหตุนั้นแล    ทานที่บุคคลให้แล้ว      ในท่านผู้มีความ
              อยากไปปราศแล้วทั้งหลาย  จึงมีผลมาก. "
         ในกาลจบเทศนา  อังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตร  ดำรงอยู่แล้ว
ในโสดาปัตติผล.   (ธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่มหาชนแล้ว).
     
พระศาสดาเสด็จไปโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์
         ลำดับนั้น    พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางเทวริษัท       ทรงปรารภพระมารดาเริ่มตั้งอภิธรรมปิฎกว่า " กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา,อพฺยากตา   ธมฺมา "     ดังนี้เป็นต้น.     ทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโดยนัยนี้ เรื่อยไปตลอด ๓ เดือน.      ก็แลทรงแสดงธรรมอยู่       ในเวลาภิกษาจารทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิต   ด้วยทรงอธิษฐานว่า  " พุทธนิรมิตนี้จงแสดงธรรมชื่อเท่านี้    จนกว่าเราจะมา "   แล้วเสด็จไปป่าหิมพานต์    ทรงเคี้ยวไม้สีฟันชื่อนาคลตา    บ้วนพระโอษฐ์ที่สระอโนดาต    นำบิณฑบาตมาแต่อุตตรกุรุทวีป ได้ประทับนั่งทำภัตกิจในโรงกว้างใหญ่แล้ว.  พระสารีบุตร เถระไปทำวัตรแต่พระศาสดาในที่นั้น.   พระศาสดาทรงทำภัตกิจแล้ว  ตรัส  แก่พระเถระว่า   " สารีบุตร  วันนี้เราภาษิตธรรมชื่อเท่านี้.   เธอจงบอกแก่(ภิกษุ ๕๐๐)  นิสิตของตน. "    ได้ทราบว่า   กุลบุตร  ๕๐๐ เลื่อมใสยมกปาฏิหาริย์  บวชแล้วในสำนักของพระเถระ.   พระศาสดาตรัสแล้วอย่างนั้นทรงหมายเอาภิกษุเหล่านั้น.  ก็แลครั้นตรัสแล้ว    เสด็จไปสู่เทวโลก   ทรงแสดงธรรมเอง    ต่อจากที่พระพุทธนิรมิตแสดง.    แม้พระเถระก็ไปแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น.  ภิกษุเหล่านั้น     เมื่อพระศาสดาเสด็จอยู่ในเทวโลกนั้นแล  ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ ๗ แล้ว.         ได้ยินว่า      ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป     ภิกษุเหล่านั้นเป็นค้างคาวหนู     ห้อยอยู่ที่เงื้อมแห่งหนึ่ง    เมื่อพระเถระ ๒ รูปจงกรมแล้วท่องอภิธรรมอยู่       ได้ฟังถือเอานิมิตในเสียงแล้ว.     ค้างคาวเหล่านั้นไม่รู้ว่า    " เหล่านั้น  ชื่อว่าขันธ์.   เหล่านี้   ชื่อว่าธาตุ "   ด้วยเหตุสักว่าถือเอานิมิตในเสียงเท่านั้น   จุติจากอัตภาพนั้น    แล้วเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง     จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว   เกิดในเรือนตระกูลในกรุงสาวัตถี    เกิดความเลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์   บวชในสำนักของพระเถระแล้ว ได้เป็นผู้ชำนาญในปกรณ์ ๗ ก่อนกว่าภิกษุทั้งปวง.  แม้พระศาสดาก็ทรงแสดงอภิธรรมโดยทำนองนั้นแล ตลอด ๓ เดือนนั้น.         ในกาลจบเทศนา    ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดา ๘ หมื่นโกฏิ.    แม้พระมหามายาก็ตั้งอยู่แล้วในโสดาปัตติผล.
      พระโมคคัลลานเถระขึ้นไปทูลถามข่าวเสด็จลง  บริษัทมีปริมณฑล  ๓๖ โยชน์    แม้นั้นแล   คิดว่า  " แต่บัดนี้ไปในวันที่ ๗ จักเป็นวันมหาปวารณา "    แล้วเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลาน เถระ    กล่าวว่า   " ท่านเจ้าข้า     ควรจะทราบวันเสด็จลงของพระศาสดา.เพราะข้าพเจ้าทั้งหลาย    ไม่เห็นพระศาสดาแล้ว    จักไม่ไป."   ท่านพระ-มหาโมคคัลลานะ   ฟังถ้อยคำนั้นแล้วรับว่า    " ดีละ."  แล้วดำลงในแผ่นดินตรงนั้นเอง    อธิษฐานว่า  " บริษัทจงเห็นเรา   ผู้ไปถึงเชิงเขาสิเนรุแล้วขึ้นไปอยู่ "  มีรูปปรากฏดุจด้ายกัมพลเหลืองที่ร้อยไว้ในแก้วมณีเทียว   ขึ้นไปแล้วโดยท่ามกลางเขาสิเนรุ.    แม้พวกมนุษย์ก็แลเห็นท่านว่า   " ขึ้นไปแล้ว  ๑ โยชน์  ขึ้นไปแล้ว  ๒ โยชน์ " เป็นต้น.  แม้พระเถระขึ้นไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา     ดุจเทินไว้ด้วยเศียรเกล้า     กราบทูลอย่างนั้นว่า    " พระเจ้าข้า      บริษัทประสงค์จะเฝ้าพระองค์ก่อนแล้วไป.
พระองค์จักเสด็จลงเมื่อไร ? "  พระศาสดา.   โมคคัลลานะ  ก็สารีบุตร  พี่ของเธอ   อยู่ที่ไหน. โมคคัลลานะ  พระเจ้าข้า   ท่านจำพรรษาอยู่   ในสังกัสสนคร.   พระศาสดา.   โมคคัลลานะ   ในวันที่ ๗ แต่วันนี้   (ไป)  เราจักลงที่ประตูเมืองสังกัสสะ ในวันมหาปวารณา  ผู้ใคร่จะพบเราก็จงไปที่นั่นเถิด;ก็แลสังกัสสนครจากกรุงสาวัตถี    มีประมาณ ๓๐ โยชน์    ในทางเท่านั้นกิจที่จะต้องเตรียมเสบียง   ย่อมไม่มีแก่ใคร ๆ.   เธอพึงบอกแก่คนเหล่านั้นว่า   ' ท่านทั้งหลาย     จงเป็นผู้รักษาอุโบสถไป     ดุจไปสู่วิหารใกล้เพื่อฟังธรรมเถิด.'




0 ความคิดเห็น:

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More