เดียรถีย์เตรียมทำปาฏิหารย์แข่ง
แม้พวกเดียรถีย์ ก็ไปกับพระองค์เหมือนกัน ชักชวนอุปัฏฐากได้ทรัพย์แสนหนึ่งแล้ว ให้ทำมณฑปด้วยเสาไม้ตะเคียน๑ ให้มุงด้วยอุบลเขียวนั่งพูดกันว่า
" พวกเราจักทำปาฏิหาริย์ในที่นี้. " ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า "
พวกเดียรถีย์ให้ทำมณฑปแล้ว พระเจ้าข้า แม้ข้าพระองค์จะให้ทำมณฑปเพื่อพระองค์. " พระศาสดา. อย่าเลยมหาบพิตร. ผู้ทำมณฑปของอาตมภาพมี. พระราชา. คนอื่นใครเล่า เว้นข้าพระองค์เสีย จักอาจทำได้พระเจ้าข้า ?
พระศาสดา. ท้าวสักกเทวราช. พระราชา. ก็พระองค์จักทรงทำปาฏิหาริย์ที่ไหนเล่า
? พระเจ้าข้า. พระศาสดา. ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์ มหาบพิตร.พวกเดียรถีย์ได้ยินว่า
" ได้ข่าวว่า พระสมณโคดมจักทำปาฏิหาริย์
ที่ควงไม้มะม่วง " จึงบอกพวกอุปัฏฐากของตน ให้ถอนต้นมะม่วงเล็กๆโดยที่สุดแม้งอกในวันนั้น ในที่ระหว่างโยชน์หนึ่ง แล้วให้ทิ้งไปในป่า. ในวันเพ็ญเดือน ๘ พระศาสดาเสด็จเข้าไปภายในพระนคร. ผู้
รักษาสวนของพระราชา ชื่อคัณฑะ เห็นมะม่วงสุกผลใหญ่ผลหนึ่งในระหว่างกลุ่มใบที่มดดำมดแดงทำรังไว้. ไล่กาที่มาชุมนุมด้วยความโลภใน
๑.
ขทิร ในที่บางแห่งแปลว่า ไม้สะแก.กลิ่นและรสแห่งมะม่วงนั้นให้หนีไปแล้ว ถือเอาเพื่อประโยชน์แด่พระ-ราชา เดินไปเห็นพระศาสดาในระหว่างทาง คิดว่า " พระราชาเสวยผลมะม่วงนี้แล้ว พึงพระราชทานกหาปณะแก่เรา ๘
กหาปณะ หรือ ๑๖กหาปณะ, กหาปณะนั้นไม่พอเพื่อเลี้ยงชีพในอัตภาพหนึ่งของเรา; ก็ถ้าว่า เราจักถวายผลมะม่วงนี้แด่พระศาสดา. นั่นจักเป็นคุณนำประโยชน์
เกื้อกูลมาให้เเก่เราตลอดกาลไม่มีสิ้นสุด." เขาน้อมถวายผลมะม่วงนั้นแด่พระศาสดา.พระศาสดาทอดพระเนตรดูพระอานนทเถระแล้ว. ลำดับนั้นพระ-เถระนำบาตรที่ท้าวมหาราชทั้ง
๔ ถวายออกมาแล้ว วางที่พระหัตถ์ของพระองค์.
พระศาสดา ทรงน้อมบาตรเข้าไปรับมะม่วงแล้ว ทรงแสดงอาการ
เพื่อประทับนั่งในที่นั้นนั่นแหละ. พระเถระได้ปูจีวรถวายแล้ว.
ลำดับนั้นเมื่อพระองค์ประทับนั่งบนจีวรนั้นแล้ว พระเถระกรองน้ำดื่ม แล้วขยำมะม่วงสุกผลนั้น ได้ทำให้เป็นนำปานะถวาย. พระศาสดาเสวยน้ำปานะผลมะม่วงแล้วตรัสกะนายคัณฑะว่า " เธอจงคุ้ยดินร่วนขึ้นแล้ว ปลูกเมล็ดมะม่วงนี้ในที่นี้นี่แหละ.
" เขาได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
ประวัติคัณฑามพพฤกษ์
พระศาสดาทรงล้างพระหัตถ์บนเมล็ดมะม่วงนั้น. พอเมื่อพระหัตถ์อันพระองค์ทรงล้างแล้วเท่านั้น, ต้นมะม่วงมีลำต้นเท่าศีรษะไถ
(งอนไถ)มีประมาณ ๕๐
ศอกโดยส่วนสูงงอกขึ้นแล้ว. กิ่งใหญ่ ๕ กิ่ง คือใน๔ ทิศ
ๆ ละกิ่ง เบื้องบนกิ่งหนึ่ง ได้มีประมาณกิ่งละ ๕๐ ศอกเทียว.ต้นมะม่วงนั้นสมบูรณ์ด้วยช่อและผล ได้ทรงไว้ซึ่งพวงแห่งมะม่วงสุกในที่แห่งหนึ่ง ในขณะนั้นนั่นเอง.พวกภิกษุผู้มาข้างหลัง มาขบฉันผลมะม่วงสุกเหมือนกัน. พระราชาทรงสดับว่า
" ข่าวว่า ต้นมะม่วงเห็นปานนี้เกิดขึ้นแล้ว
"จึงทรงตั้งอารักขาไว้ด้วยพระดำรัสว่า " ใคร ๆ
อย่าตัดต้นมะม่วงนั้น." ก็ต้นมะม่วงนั้น ปรากฏชื่อว่า " คัณฑามพพฤกษ์ " เพราะความที่นาย คัณฑะปลูกไว้. แม้พวกนักเลงเคี้ยวกินผลมะม่วงสุกแล้วพูดว่า
" เจ้าพวก
เดียรถีย์ถ่อยเว้ย พวกเจ้ารู้ว่า 'พระสมณโคดมจักทรงทำปาฏิหาริย์ที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์ จึงสั่งให้ถอนต้นมะม่วงเล็ก ๆ แม้ที่เกิดในวันนั้นในร่วมในที่โยชน์หนึ่ง, ต้นมะม่วงนี้ ชื่อว่าคัณฑามพะ " แล้วเอาเมล็ดมะม่วงที่เป็นเดนประหารพวกเดียรถีย์เหล่านั้.
ท้าวสักกะทำลายพิธีของพวกเดียรถีย์
ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับวาตวลาหกเทวบุตรว่า " ท่านจงถอนมณฑปของพวกเดียรถีย์เสียด้วยลม แล้วให้ลม (หอบไป)
ทิ้งเสียบนแผ่นดินที่ทิ้งหยากเยื่อ.
เทวบุตรนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว. ท้าวสักกะสั่งบังคับสุริยเทวบุตรว่า
" ท่านจงขยายมณฑลพระอาทิตย์ ยัง (พวกเดียรถีย์) ให้เร่าร้อน่. " แม้เทวบุตรนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว. ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับวาตวลาหกเทวบุตรอีกว่า " ท่านจงยังมณฑลแห่งลม
(ลมหัวด้วน)ให้ตั้งขึ้นไปเถิด. "
เทวบุตรนั้นทำอยู่เหมือนอย่างนั้น โปรยเกลียวธุลีลงที่สรีระของพวกเดียรถีย์ที่มีเหงื่อไหล. พวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้เป็นเช่นกับจอมปลวกแดง. ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับแม้วัสสวลาหกเทวบุตรว่า " ท่านจงให้หยาดน้ำเมล็ดใหญ่
ๆ ตก. " เทวบุตรนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.ทีนั้น กายของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ได้เป็นเช่นกับแม่โคด่างแล้ว. พวกเขาแตกหมู่กัน หนีไปในที่เฉพาะหน้า ๆ นั่นเอง. เมื่อพวกเขาหนีไปอยู่อย่างนั้น ชาวนาคนหนึ่งเป็นอุปัฏฐาก องปูรณกัสสป คิดว่า
" บัดนี้
เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์แห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา, เราจักดูปาฎิหาริย์นั้น "แล้วปล่อยโค ถือหม้อยาคูและเชือก ซึ่งตนนำมาแต่เช้าตรู่เดินมาอยู่ เห็นปูรณะหนีไปอยู่เช่นนั้น จึงกล่าวว่า " ท่านขอรับ ผมมาด้วยหวังว่า' จักดูปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้า,
' พวกท่านจะไปที่ไหน ?
" ปูรณะ. ท่านจะต้องการอะไรด้วยปาฏิหาริย์. ท่านจงให้หม้อและเชือกนี้แก่เรา.
เขาถือเอาหม้อและเชือกที่อุปัฏฐากนั้นให้เเล้ว
ไปยังฝั่งแม่น้ำ เอาเชือกผูกหม้อเข้าที่คอของตนแล้ว กระโดดลงไปในห้วงน้ำ ยังฟองน้ำให้ตั้งขึ้นอยู่ ทำกาละในอเวจีแล้ว. พระศาสดาทรงนิรมิตจงกรมแก้วในอากาศ. ที่สุดด้านหนึ่งของจงกรมนั้น
ได้มีที่ขอบปากจักรวาลด้านปาจีนทิศ. ด้านหนึ่งได้มีที่ขอบปากจักรวาลด้านปัศจิมทิศ. พระศาสดา
เมื่อบริษัทมีประมาณ ๓๖ โยชน์ประชุมกันแล้ว. ในเวลาบ่ายเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ด้วยทรงดำริว่า"
บัดนี้เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์ "
แล้ว ได้ประทับยืนที่หน้ามุข. สาวกสาวิการับอาสาทำปาฏิหาริย์แทนครั้งนั้น อนาคามีอุบาสิกาคนหนึ่ง ผู้นันทมารดา
ชื่อฆรณี เข้าไปเฝ้าพระองค์แล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า เมื่อธิดาเช่นหม่อมฉันมีอยู่.กิจที่พระองค์ต้องลำบากย่อมไม่มี, หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์. "
พระศาสดา. ฆรณี เธอจักทำอย่างไร ? ฆรณี. พระเจ้าข้า
หม่อมฉันจักทำแผ่นดินใหญ่ในท้องแห่งจักร-วาลหนึ่งให้เป็นน้ำแล้วดำลงเหมือนนางนกเป็ดน้ำแสดงตนที่ขอบปากแห่งจักรวาลด้านปาจีนทิศ. ที่ขอบปากแห่งจักรวาลด้านปัศจิมทิศ อุตรทิศและทักษิณทิศก็เช่นนั้น, ตรงกลางก็เช่นนั้น; เมื่อเป็นเช่นนั้น มหาชนเห็นหม่อมฉันแล้ว. เมื่อใคร ๆ พูดขึ้นว่า ' นั่นใคร ' ก็จะบอกว่า ' นั่น ชื่อนางฆรณี. อานุภาพของหญิงคนหนึ่งยังเพียงนี้ก่อน. ส่วนอานุภาพของพระพุทธเจ้า จักเป็นเช่นไร ? ' พวกเดียรถีย์ไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนี ไปด้วยอาการอย่างนี้.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า "ฆรณี
เราย่อมทราบความที่เธอเป็นผู้สามารถทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ได้. แต่พวงดอกไม้นี้เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอ
" แล้วทรงห้ามเสีย. นางฆรณีนั้นคิดว่า " พระศาสดาไม่ทรงอนุญาตแก่เรา. คนอื่นผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งขึ้นไปกว่าเราจะมีแน่แท้
" ดังนี้ แล้วได้ยืนอยู่ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายพระศาสดาทรงดำริว่า " คุณของสาวกเหล่านั้นจักปรากฏด้วยอาการอย่างนี้แหละ
" ทรงสำคัญอยู่ว่า " พวกสาวกจะบันลือสีหนาทณ ท่ามกลางบริษัทมีประมาณ ๓๖ โยชน์
ด้วยอาการอย่างนี้ "
จึงตรัสถามสาวกแม้พวกอื่นอีกว่า
" พวกเธอจักทำปาฏิหาริย์อย่างไร ? สาวกเหล่านั้นก็กราบทูลว่า "
พวกข้าพระองค์จักทำอย่างนี้และอย่างนี้
พระ-เจ้าข้า "
แล้วยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดานั่นแหละ บันลือสีหนาท.บรรดาสาวกเหล่านั้น ได้ยินว่า
ท่านจุลอนาถบิณฑิกะ คิดว่า เมื่ออนาคามีอุบาสกผู้เป็นบุตรเช่นเรามีอยู่. กิจที่พระศาสดาต้องลำบาก
ย่อมไม่มี "
จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จัก ทำปาฏิหาริย์ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า " เธอจักทำอย่างไร ? "
จึงกราบทูลว่า " พระ-เจ้าข้า
ข้าพระองค์จักนิรมิตอัตภาพเหมือนพรหมมีประมาณ ๑๒ โยชน์จักปรบดุจดังพรหมด้วยเสียงเช่นกับมหาเมฆกระหึ่มในท่ามกลางบริษัทนี้,มหาชนจักถามว่า 'นี่ชื่อว่าเสียงอะไรกัน ? '
แล้วจักกล่าวกันเองว่า' นัยว่า
นี่ชื่อว่าเป็นเสียงแห่งการปรบดังพรหมของท่านจุลอนาถบิณฑิกะ.'พวกเดียรถีย์จักคิดว่า "
อานุภาพของคฤหบดียังถึงเพียงนี้ก่อน.
อานุภาพของพระพุทธเจ้าจะเป็นเช่นไร ? ยังไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนีไป."พระศาสดาตรัสเช่นนั้นเหมือนกัน แม้เเก่ท่านจุลอนาถบิณฑิกะนั้นว่า"
เราทราบอานุภาพของเธอ "
แล้วไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์.
ต่อมา สามเณรีชื่อว่า วีรา มีอายุได้ ๗ ขวบ บรรลุปฏิสัมภิทารูปหนึ่ง ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์.
" พระศาสดา. วีรา
เธอจักทำอย่างไร.
วีรา. พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักนำภูเขาสิเนรุ ภูเขาจักรวาล และภูเขาหิมพานต์ตั้งเรียงไว้ในที่นี้ แล้วจักออกจากภูเขานั้น ๆ ไปไม่ขัดข้องดุจนางหงส์. มหาชนเห็นหม่อมฉันแล้วจักถามว่า ' นั่นใคร? ' แล้วจักกล่าวว่า ' วีราสามเณรี. พวกเดียรถีย์คิดกันว่า อานุภาพของสามเณรีผู้มีอายุ ๗ ขวบ ยังถึงเพียงนี้ก่อน, อานุภาพของพระพุทธเจ้าจักเป็น
เช่นไร ? ยังไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนีไป. เบื้องหน้าแต่นี้ไป พึงทราบคำเห็นปานนี้ โดยทำนองดังที่กล่าวแล้วนั่นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแม้เเก่สามเณรีนั้นว่า "
เราทราบอานุภาพของเธอ "
ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์." ลำดับนั้น
สามเณรชื่อจุนทะผู้เป็นขีณาสพ
บรรลุปฏิสัมภิทารูปหนึ่งมีอายุ ๗
ขวบแต่เกิดมา เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า " ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า. " ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า" เธอจักทำอย่างไร ?
" จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จักจับต้นหว้าใหญ่ที่เป็นธงแห่งชมพูทวีปที่ลำต้นแล้วเขย่า นำผลหว้าใหญ่มาให้บริษัทนี้เคี้ยวกิน. และข้าพระองค์จักนำดอกแคฝอยมาแล้ว ถวายบังคมพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า "
เราทราบอานุภาพของเธอ " ดังนี้แล้วก็ทรงห้ามการทำปาฏิหาริย์ แม้ของสามเณรนั้น.
ลำดับนั้น พระเถรีชื่ออุบลวรรณา ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า "
หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า
" ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า "
เธอจักทำอย่างไร ? " จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า
หม่อมฉันจักแสดงบริษัทมีประมาณ ๓๒ โยชน์โดยรอบ
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อันบริษัทมีประมาณ ๓๖ โยชน์โดยกลมแวดล้อมแล้วมาถวายบังคมพระองค์."พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " แล้วก็ทรงห้ามการทำปาฏิหาริย์ แม้ของพระเถรีนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า " ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า " ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า " เธอจักทำอะไร ? " จึงกราบทูลว่า "
ข้าพระองค์ จักวางเขาหลวงชื่อสิเนรุไว้ในระหว่างฟันแล้ว เคี้ยวกินภูเขานั้นดุจพืช เมล็ดผักกาด
พระเจ้าข้า. "
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น. มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักม้วนแผ่นดินใหญ่นี้ดุจเสื่อลำแพนแล้วใส่เข้าไว้(หนีบไว้)
ในระหว่างนิ้วมือ. พระศาสดา
เธอจักทำอะไร. อย่างอื่น.
มหาโมคคัลลานะ.
ข้าพระองค์จักหมุนแผ่นดินใหญ่ ให้เป็นเหมือนแป้นหมุนภาชนะดินของช่างหม้อ แล้วให้มหาชนเคี้ยวกินโอชะแผ่นดิน.
พระศาสดา. เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น.มหาโมคคัลลานะ. ข้าพระองค์จักทำแผ่นดินไว้ในมือเบื้องซ้ายแล้ววางสัตว์เหล่านั้นไว้ในทวีปอื่นด้วยมือเบื้องขวา. พระศาสดา.
เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น. มหาโมคคัลลานะข้าพระองค์จักทำเขาสิเนรุให้เป็นด้ามร่ม ยกแผ่นดินใหญ่ขึ้นวางไว้ข้างบนของภูเขาสิเนรุนั้น เอามือข้างหนึ่งถือไว้คล้ายภิกษุมีร่มในมือ จงกรมไปในอากาศ.
พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ " ดังนี้แล้วก็ไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์ แม้ของพระเถระนั้น. พระเถระนั้นคิดว่า"
ชะรอยพระศาสดาจะทรงทราบผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าเรา " จึงได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น
พระศาสดาตรัสกะพระเถระนั้นว่า
" โมคคัลลานะ พวงดอกไม้นี้เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอ, ด้วยว่า เราเป็นผู้มีธุระที่หาผู้เสมอมิได้.
ผู้อื่นที่ชื่อว่าสามารถนำธุระของเราไปได้ไม่มี; การที่ผู้สามารถ
นำธุระของเราไปได้ไม่พึงมีในบัดนี้ไม่เป็นของอัศจรรย์, แม้ในกาลที่เรา
เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานที่เป็นอเหตุกกำเนิด
ผู้อื่นที่สามารถนำธุระของเราไป
ก็มิได้มีแล้วเหมือนกัน "
อันพระเถระทูลถามว่า " ในกาลไรเล่า ?พระเจ้าข้า "
จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสกัณหอุสภชาดก๑นี้ให้พิสดารว่า :-"
ธุระหนักมีอยู่ในกาลใด ๆ, ทางไปในที่ลุ่มลึกมีอยู่ในกาลใด
ในกาลนั้นแหละ พวกเจ้าของย่อม
เทียมโคชื่อกัณหะ; โคชื่อกัณหะนั้นแหละ ย่อมนำธุระนั้นไป. " เมื่อจะทรงแสดงเรื่องนั้นนั่นแหละให้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก จึงตรัส นันทวิสาลชาดก๒นี้ให้พิสดารว่า :-
" บุคคลพึงกล่าวคำเป็นที่พอใจเท่านั้น,
ไม่พึง กล่าวคำไม่เป็นที่พอใจในกาลไหน ๆ; (เพราะ) เมื่อ พราหมณ์กล่าวคำเป็นที่พอใจอยู่,โคนันทวิสาลเข็น ภาระอันหนักไปได้; ยังพราหมณ์นั้นให้ได้ทรัพย์, ละพราหมณ์นั้นได้เป็นผู้มีใจเบิกบาน เพราะการได้
ทรัพย์นั้น.
ก็แล
พระศาสดาครั้นตรัสแล้ว
จึงเสด็จขึ้นสู่จงกรมแก้วนั้น.
ข้างหน้าได้มีบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์.
ข้างหลัง ข้างซ้าย และข้างขวาก็เหมือนอย่างนั้น, ส่วนโดยตรง มีประมาณ ๒๔
โยชน์ พระผู้มีพระ-ภาคเจ้าได้ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ ในท่ามกลางบริษัท. ยมกปาฏิหาริย์นั้นบัณฑิตพึงทราบตามพระบาลีอย่างนี้ก่อน.
๑. ขุ.
ชา. ๒๗/๑๐. อรรถกถา.
๑/๒๘๙. ๒. ขุ.
ชา. ๒๗/๑๐. อรรถกถา.
๑/๒๙๓.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น