วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องยมกปาฏิหารย์ ตอนที่3


เดียรถีย์เตรียมทำปาฏิหารย์แข่ง
         แม้พวกเดียรถีย์   ก็ไปกับพระองค์เหมือนกัน   ชักชวนอุปัฏฐากได้ทรัพย์แสนหนึ่งแล้ว  ให้ทำมณฑปด้วยเสาไม้ตะเคียน   ให้มุงด้วยอุบลเขียวนั่งพูดกันว่า " พวกเราจักทำปาฏิหาริย์ในที่นี้. "         ครั้งนั้น  พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา   กราบทูลว่า " พวกเดียรถีย์ให้ทำมณฑปแล้ว   พระเจ้าข้า    แม้ข้าพระองค์จะให้ทำมณฑปเพื่อพระองค์. " พระศาสดา.   อย่าเลยมหาบพิตร.  ผู้ทำมณฑปของอาตมภาพมี. พระราชา.     คนอื่นใครเล่า    เว้นข้าพระองค์เสีย    จักอาจทำได้พระเจ้าข้า ? พระศาสดา.  ท้าวสักกเทวราช.  พระราชา.   ก็พระองค์จักทรงทำปาฏิหาริย์ที่ไหนเล่า พระเจ้าข้า. พระศาสดา.  ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์  มหาบพิตร.พวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ได้ข่าวว่า   พระสมณโคดมจักทำปาฏิหาริย์
ที่ควงไม้มะม่วง "  จึงบอกพวกอุปัฏฐากของตน   ให้ถอนต้นมะม่วงเล็กๆโดยที่สุดแม้งอกในวันนั้น  ในที่ระหว่างโยชน์หนึ่ง  แล้วให้ทิ้งไปในป่า.  ในวันเพ็ญเดือน ๘    พระศาสดาเสด็จเข้าไปภายในพระนคร.     ผู้
รักษาสวนของพระราชา     ชื่อคัณฑะ    เห็นมะม่วงสุกผลใหญ่ผลหนึ่งในระหว่างกลุ่มใบที่มดดำมดแดงทำรังไว้.   ไล่กาที่มาชุมนุมด้วยความโลภใน
๑.  ขทิร  ในที่บางแห่งแปลว่า  ไม้สะแก.กลิ่นและรสแห่งมะม่วงนั้นให้หนีไปแล้ว       ถือเอาเพื่อประโยชน์แด่พระ-ราชา  เดินไปเห็นพระศาสดาในระหว่างทาง  คิดว่า  " พระราชาเสวยผลมะม่วงนี้แล้ว    พึงพระราชทานกหาปณะแก่เรา ๘ กหาปณะ    หรือ ๑๖กหาปณะ,    กหาปณะนั้นไม่พอเพื่อเลี้ยงชีพในอัตภาพหนึ่งของเรา;   ก็ถ้าว่า    เราจักถวายผลมะม่วงนี้แด่พระศาสดา.    นั่นจักเป็นคุณนำประโยชน์
เกื้อกูลมาให้เเก่เราตลอดกาลไม่มีสิ้นสุด."     เขาน้อมถวายผลมะม่วงนั้นแด่พระศาสดา.พระศาสดาทอดพระเนตรดูพระอานนทเถระแล้ว.    ลำดับนั้นพระ-เถระนำบาตรที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถวายออกมาแล้ว     วางที่พระหัตถ์ของพระองค์. พระศาสดา   ทรงน้อมบาตรเข้าไปรับมะม่วงแล้ว   ทรงแสดงอาการ
เพื่อประทับนั่งในที่นั้นนั่นแหละ.   พระเถระได้ปูจีวรถวายแล้ว.  ลำดับนั้นเมื่อพระองค์ประทับนั่งบนจีวรนั้นแล้ว    พระเถระกรองน้ำดื่ม    แล้วขยำมะม่วงสุกผลนั้น   ได้ทำให้เป็นนำปานะถวาย.    พระศาสดาเสวยน้ำปานะผลมะม่วงแล้วตรัสกะนายคัณฑะว่า   " เธอจงคุ้ยดินร่วนขึ้นแล้ว     ปลูกเมล็ดมะม่วงนี้ในที่นี้นี่แหละ. "   เขาได้ทำอย่างนั้นแล้ว.
                        
ประวัติคัณฑามพพฤกษ์
         พระศาสดาทรงล้างพระหัตถ์บนเมล็ดมะม่วงนั้น.   พอเมื่อพระหัตถ์อันพระองค์ทรงล้างแล้วเท่านั้น,   ต้นมะม่วงมีลำต้นเท่าศีรษะไถ (งอนไถ)มีประมาณ  ๕๐ ศอกโดยส่วนสูงงอกขึ้นแล้ว.      กิ่งใหญ่ ๕ กิ่ง     คือใน๔  ทิศ ๆ  ละกิ่ง    เบื้องบนกิ่งหนึ่ง    ได้มีประมาณกิ่งละ ๕๐  ศอกเทียว.ต้นมะม่วงนั้นสมบูรณ์ด้วยช่อและผล   ได้ทรงไว้ซึ่งพวงแห่งมะม่วงสุกในที่แห่งหนึ่ง  ในขณะนั้นนั่นเอง.พวกภิกษุผู้มาข้างหลัง  มาขบฉันผลมะม่วงสุกเหมือนกัน. พระราชาทรงสดับว่า " ข่าวว่า  ต้นมะม่วงเห็นปานนี้เกิดขึ้นแล้ว "จึงทรงตั้งอารักขาไว้ด้วยพระดำรัสว่า  " ใคร ๆ อย่าตัดต้นมะม่วงนั้น." ก็ต้นมะม่วงนั้น  ปรากฏชื่อว่า  " คัณฑามพพฤกษ์ "  เพราะความที่นาย คัณฑะปลูกไว้.   แม้พวกนักเลงเคี้ยวกินผลมะม่วงสุกแล้วพูดว่า " เจ้าพวก
เดียรถีย์ถ่อยเว้ย    พวกเจ้ารู้ว่า 'พระสมณโคดมจักทรงทำปาฏิหาริย์ที่โคนต้นคัณฑามพพฤกษ์  จึงสั่งให้ถอนต้นมะม่วงเล็ก ๆ  แม้ที่เกิดในวันนั้นในร่วมในที่โยชน์หนึ่ง,    ต้นมะม่วงนี้     ชื่อว่าคัณฑามพะ "    แล้วเอาเมล็ดมะม่วงที่เป็นเดนประหารพวกเดียรถีย์เหล่านั้.                  
ท้าวสักกะทำลายพิธีของพวกเดียรถีย์

         ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับวาตวลาหกเทวบุตรว่า " ท่านจงถอนมณฑปของพวกเดียรถีย์เสียด้วยลม  แล้วให้ลม (หอบไป) ทิ้งเสียบนแผ่นดินที่ทิ้งหยากเยื่อ.     เทวบุตรนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.   ท้าวสักกะสั่งบังคับสุริยเทวบุตรว่า " ท่านจงขยายมณฑลพระอาทิตย์ ยัง (พวกเดียรถีย์)   ให้เร่าร้อน่. "   แม้เทวบุตรนั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.  ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับวาตวลาหกเทวบุตรอีกว่า  " ท่านจงยังมณฑลแห่งลม (ลมหัวด้วน)ให้ตั้งขึ้นไปเถิด. "   เทวบุตรนั้นทำอยู่เหมือนอย่างนั้น   โปรยเกลียวธุลีลงที่สรีระของพวกเดียรถีย์ที่มีเหงื่อไหล.   พวกเดียรถีย์เหล่านั้นได้เป็นเช่นกับจอมปลวกแดง.   ท้าวสักกะทรงสั่งบังคับแม้วัสสวลาหกเทวบุตรว่า  " ท่านจงให้หยาดน้ำเมล็ดใหญ่ ๆ ตก. "     เทวบุตรนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.ทีนั้น    กายของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น    ได้เป็นเช่นกับแม่โคด่างแล้ว.  พวกเขาแตกหมู่กัน    หนีไปในที่เฉพาะหน้า ๆ นั่นเอง.    เมื่อพวกเขาหนีไปอยู่อย่างนั้น   ชาวนาคนหนึ่งเป็นอุปัฏฐาก องปูรณกัสสป   คิดว่า  " บัดนี้
เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์แห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา,    เราจักดูปาฎิหาริย์นั้น "แล้วปล่อยโค ถือหม้อยาคูและเชือก  ซึ่งตนนำมาแต่เช้าตรู่เดินมาอยู่  เห็นปูรณะหนีไปอยู่เช่นนั้น    จึงกล่าวว่า    " ท่านขอรับ    ผมมาด้วยหวังว่า' จักดูปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้า, '  พวกท่านจะไปที่ไหน ? "  ปูรณะ.   ท่านจะต้องการอะไรด้วยปาฏิหาริย์.   ท่านจงให้หม้อและเชือกนี้แก่เรา. เขาถือเอาหม้อและเชือกที่อุปัฏฐากนั้นให้เเล้ว   ไปยังฝั่งแม่น้ำ   เอาเชือกผูกหม้อเข้าที่คอของตนแล้ว   กระโดดลงไปในห้วงน้ำ   ยังฟองน้ำให้ตั้งขึ้นอยู่   ทำกาละในอเวจีแล้ว.          พระศาสดาทรงนิรมิตจงกรมแก้วในอากาศ.       ที่สุดด้านหนึ่งของจงกรมนั้น ได้มีที่ขอบปากจักรวาลด้านปาจีนทิศ. ด้านหนึ่งได้มีที่ขอบปากจักรวาลด้านปัศจิมทิศ.    พระศาสดา   เมื่อบริษัทมีประมาณ  ๓๖  โยชน์ประชุมกันแล้ว.   ในเวลาบ่ายเสด็จออกจากพระคันธกุฎี    ด้วยทรงดำริว่า" บัดนี้เป็นเวลาทำปาฏิหาริย์ "  แล้ว   ได้ประทับยืนที่หน้ามุข. สาวกสาวิการับอาสาทำปาฏิหาริย์แทนครั้งนั้น   อนาคามีอุบาสิกาคนหนึ่ง  ผู้นันทมารดา  ชื่อฆรณี   เข้าไปเฝ้าพระองค์แล้วกราบทูลว่า  " พระเจ้าข้า   เมื่อธิดาเช่นหม่อมฉันมีอยู่.กิจที่พระองค์ต้องลำบากย่อมไม่มีหม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์. "
          พระศาสดา.  ฆรณี  เธอจักทำอย่างไร ?   ฆรณี.    พระเจ้าข้า   หม่อมฉันจักทำแผ่นดินใหญ่ในท้องแห่งจักร-วาลหนึ่งให้เป็นน้ำแล้วดำลงเหมือนนางนกเป็ดน้ำแสดงตนที่ขอบปากแห่งจักรวาลด้านปาจีนทิศ.  ที่ขอบปากแห่งจักรวาลด้านปัศจิมทิศ อุตรทิศและทักษิณทิศก็เช่นนั้น,   ตรงกลางก็เช่นนั้นเมื่อเป็นเช่นนั้น   มหาชนเห็นหม่อมฉันแล้ว.  เมื่อใคร ๆ พูดขึ้นว่า  ' นั่นใคร ก็จะบอกว่า  ' นั่น ชื่อนางฆรณี.    อานุภาพของหญิงคนหนึ่งยังเพียงนี้ก่อน.    ส่วนอานุภาพของพระพุทธเจ้า   จักเป็นเช่นไร ?  '   พวกเดียรถีย์ไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนี ไปด้วยอาการอย่างนี้.
        ลำดับนั้น    พระศาสดาตรัสกะนางว่า  "ฆรณี   เราย่อมทราบความที่เธอเป็นผู้สามารถทำปาฏิหาริย์เห็นปานนี้ได้.     แต่พวงดอกไม้นี้เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอ "    แล้วทรงห้ามเสีย.         นางฆรณีนั้นคิดว่า  " พระศาสดาไม่ทรงอนุญาตแก่เรา.     คนอื่นผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งขึ้นไปกว่าเราจะมีแน่แท้ "    ดังนี้    แล้วได้ยืนอยู่ณ  ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ฝ่ายพระศาสดาทรงดำริว่า   " คุณของสาวกเหล่านั้นจักปรากฏด้วยอาการอย่างนี้แหละ "     ทรงสำคัญอยู่ว่า  " พวกสาวกจะบันลือสีหนาทณ   ท่ามกลางบริษัทมีประมาณ  ๓๖ โยชน์   ด้วยอาการอย่างนี้ "    จึงตรัสถามสาวกแม้พวกอื่นอีกว่า  " พวกเธอจักทำปาฏิหาริย์อย่างไร ?    สาวกเหล่านั้นก็กราบทูลว่า  " พวกข้าพระองค์จักทำอย่างนี้และอย่างนี้   พระ-เจ้าข้า "     แล้วยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระศาสดานั่นแหละ    บันลือสีหนาท.บรรดาสาวกเหล่านั้น    ได้ยินว่า    ท่านจุลอนาถบิณฑิกะ    คิดว่า   เมื่ออนาคามีอุบาสกผู้เป็นบุตรเช่นเรามีอยู่.    กิจที่พระศาสดาต้องลำบาก
ย่อมไม่มี " จึงกราบทูลว่า   " พระเจ้าข้า    ข้าพระองค์จัก ทำปาฏิหาริย์ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า  " เธอจักทำอย่างไร ? "  จึงกราบทูลว่า " พระ-เจ้าข้า     ข้าพระองค์จักนิรมิตอัตภาพเหมือนพรหมมีประมาณ ๑๒ โยชน์จักปรบดุจดังพรหมด้วยเสียงเช่นกับมหาเมฆกระหึ่มในท่ามกลางบริษัทนี้,มหาชนจักถามว่า       'นี่ชื่อว่าเสียงอะไรกัน ? '      แล้วจักกล่าวกันเองว่า' นัยว่า  นี่ชื่อว่าเป็นเสียงแห่งการปรบดังพรหมของท่านจุลอนาถบิณฑิกะ.'พวกเดียรถีย์จักคิดว่า  " อานุภาพของคฤหบดียังถึงเพียงนี้ก่อน.   อานุภาพของพระพุทธเจ้าจะเป็นเช่นไร ?     ยังไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนีไป."พระศาสดาตรัสเช่นนั้นเหมือนกัน         แม้เเก่ท่านจุลอนาถบิณฑิกะนั้นว่า" เราทราบอานุภาพของเธอ "  แล้วไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์.         ต่อมา  สามเณรีชื่อว่า วีรา  มีอายุได้ ๗ ขวบ   บรรลุปฏิสัมภิทารูปหนึ่ง  ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า  " พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์. "         พระศาสดา.   วีรา   เธอจักทำอย่างไร.         วีรา.   พระเจ้าข้า   หม่อมฉันจักนำภูเขาสิเนรุ   ภูเขาจักรวาล   และภูเขาหิมพานต์ตั้งเรียงไว้ในที่นี้    แล้วจักออกจากภูเขานั้น ๆ ไปไม่ขัดข้องดุจนางหงส์.   มหาชนเห็นหม่อมฉันแล้วจักถามว่า  ' นั่นใคร? '    แล้วจักกล่าวว่า   ' วีราสามเณรี.   พวกเดียรถีย์คิดกันว่า   อานุภาพของสามเณรีผู้มีอายุ ๗ ขวบ     ยังถึงเพียงนี้ก่อน,    อานุภาพของพระพุทธเจ้าจักเป็น เช่นไร ?   ยังไม่ทันเห็นพระองค์เลยก็จักหนีไป.    เบื้องหน้าแต่นี้ไป  พึงทราบคำเห็นปานนี้   โดยทำนองดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแม้เเก่สามเณรีนั้นว่า  "  เราทราบอานุภาพของเธอ "   ดังนี้แล้ว  ก็ไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์."         ลำดับนั้น สามเณรชื่อจุนทะผู้เป็นขีณาสพ  บรรลุปฏิสัมภิทารูปหนึ่งมีอายุ  ๗ ขวบแต่เกิดมา    เข้าไปเฝ้าพระศาสดา   ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า   " ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์  พระเจ้าข้า. "  ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า" เธอจักทำอย่างไร ? "   จึงกราบทูลว่า  " พระเจ้าข้า    ข้าพระองค์จักจับต้นหว้าใหญ่ที่เป็นธงแห่งชมพูทวีปที่ลำต้นแล้วเขย่า   นำผลหว้าใหญ่มาให้บริษัทนี้เคี้ยวกิน.    และข้าพระองค์จักนำดอกแคฝอยมาแล้ว    ถวายบังคมพระองค์.     พระศาสดาตรัสว่า " เราทราบอานุภาพของเธอ "  ดังนี้แล้วก็ทรงห้ามการทำปาฏิหาริย์  แม้ของสามเณรนั้น.
         ลำดับนั้น      พระเถรีชื่ออุบลวรรณา    ถวายบังคมพระศาสดาแล้วกราบทูลว่า " หม่อมฉันจักทำปาฏิหาริย์   พระเจ้าข้า "     ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า " เธอจักทำอย่างไร ? "  จึงกราบทูลว่า " พระเจ้าข้า หม่อมฉันจักแสดงบริษัทมีประมาณ ๓๒ โยชน์โดยรอบ  เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อันบริษัทมีประมาณ ๓๖ โยชน์โดยกลมแวดล้อมแล้วมาถวายบังคมพระองค์."พระศาสดาตรัสว่า  " เราทราบอานุภาพของเธอ "   แล้วก็ทรงห้ามการทำปาฏิหาริย์  แม้ของพระเถรีนั้น.
         ลำดับนั้น   พระมหาโมคคัลลานเถระ  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า   " ข้าพระองค์จักทำปาฏิหาริย์   พระเจ้าข้า "    ถูกพระศาสดาตรัสถามว่า " เธอจักทำอะไร ? " จึงกราบทูลว่า " ข้าพระองค์ จักวางเขาหลวงชื่อสิเนรุไว้ในระหว่างฟันแล้ว        เคี้ยวกินภูเขานั้นดุจพืช  เมล็ดผักกาด  พระเจ้าข้า. "         พระศาสดา.  เธอจักทำอะไร อย่างอื่น.         มหาโมคคัลลานะ.  ข้าพระองค์จักม้วนแผ่นดินใหญ่นี้ดุจเสื่อลำแพนแล้วใส่เข้าไว้(หนีบไว้) ในระหว่างนิ้วมือ. พระศาสดา   เธอจักทำอะไร.  อย่างอื่น. มหาโมคคัลลานะ.   ข้าพระองค์จักหมุนแผ่นดินใหญ่ ให้เป็นเหมือนแป้นหมุนภาชนะดินของช่างหม้อ  แล้วให้มหาชนเคี้ยวกินโอชะแผ่นดิน. พระศาสดา.   เธอจักทำอะไร อย่างอื่น.มหาโมคคัลลานะ.   ข้าพระองค์จักทำแผ่นดินไว้ในมือเบื้องซ้ายแล้ววางสัตว์เหล่านั้นไว้ในทวีปอื่นด้วยมือเบื้องขวา.  พระศาสดา.  เธอจักทำอะไร ? อย่างอื่น. มหาโมคคัลลานะข้าพระองค์จักทำเขาสิเนรุให้เป็นด้ามร่ม     ยกแผ่นดินใหญ่ขึ้นวางไว้ข้างบนของภูเขาสิเนรุนั้น          เอามือข้างหนึ่งถือไว้คล้ายภิกษุมีร่มในมือ  จงกรมไปในอากาศ.
         พระศาสดาตรัสว่า  " เราทราบอานุภาพของเธอ "  ดังนี้แล้วก็ไม่ทรงอนุญาตการทำปาฏิหาริย์   แม้ของพระเถระนั้น.    พระเถระนั้นคิดว่า" ชะรอยพระศาสดาจะทรงทราบผู้สามารถทำปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าเรา "    จึงได้ยืนอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น  พระศาสดาตรัสกะพระเถระนั้นว่า  " โมคคัลลานะ พวงดอกไม้นี้เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่เธอด้วยว่า   เราเป็นผู้มีธุระที่หาผู้เสมอมิได้. ผู้อื่นที่ชื่อว่าสามารถนำธุระของเราไปได้ไม่มี; การที่ผู้สามารถ นำธุระของเราไปได้ไม่พึงมีในบัดนี้ไม่เป็นของอัศจรรย์,    แม้ในกาลที่เรา
เกิดในกำเนิดสัตว์เดียรัจฉานที่เป็นอเหตุกกำเนิด ผู้อื่นที่สามารถนำธุระของเราไป  ก็มิได้มีแล้วเหมือนกัน "  อันพระเถระทูลถามว่า " ในกาลไรเล่า ?พระเจ้าข้า " จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสกัณหอุสภชาดก๑นี้ให้พิสดารว่า :-" ธุระหนักมีอยู่ในกาลใด ๆทางไปในที่ลุ่มลึกมีอยู่ในกาลใด   ในกาลนั้นแหละ   พวกเจ้าของย่อม เทียมโคชื่อกัณหะ;   โคชื่อกัณหะนั้นแหละ   ย่อมนำธุระนั้นไป. "    เมื่อจะทรงแสดงเรื่องนั้นนั่นแหละให้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก       จึงตรัส นันทวิสาลชาดก๒นี้ให้พิสดารว่า :-
  " บุคคลพึงกล่าวคำเป็นที่พอใจเท่านั้น,   ไม่พึง   กล่าวคำไม่เป็นที่พอใจในกาลไหน ๆ;  (เพราะ)    เมื่อ พราหมณ์กล่าวคำเป็นที่พอใจอยู่,โคนันทวิสาลเข็น  ภาระอันหนักไปได้;   ยังพราหมณ์นั้นให้ได้ทรัพย์,    ละพราหมณ์นั้นได้เป็นผู้มีใจเบิกบาน   เพราะการได้    ทรัพย์นั้น.
         ก็แล   พระศาสดาครั้นตรัสแล้ว   จึงเสด็จขึ้นสู่จงกรมแก้วนั้น.  ข้างหน้าได้มีบริษัทประมาณ ๑๒ โยชน์.    ข้างหลัง    ข้างซ้าย    และข้างขวาก็เหมือนอย่างนั้นส่วนโดยตรง  มีประมาณ ๒๔ โยชน์   พระผู้มีพระ-ภาคเจ้าได้ทรงทำยมกปาฏิหาริย์   ในท่ามกลางบริษัท.    ยมกปาฏิหาริย์นั้นบัณฑิตพึงทราบตามพระบาลีอย่างนี้ก่อน.

๑.   ขุ.  ชา.  ๒๗/๑๐.  อรรถกถา.  ๑/๒๘๙.    ๒.  ขุ.  ชา.  ๒๗/๑๐.  อรรถกถา.  ๑/๒๙๓.

0 ความคิดเห็น:

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More