ชาวกรุงเข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์
ในวันที่ ๗ ในกาลที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระปิณโฑล-ภารทวาชะไปยืนบนหินดาดแห่งหนึ่งแล้วห่มจีวร ด้วยตั้งใจว่า "
จักเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
พวกนักเลงคุยกันว่า " ชาวเราเอ๋ย ในกาลก่อน ครูทั้ง ๖
กล่าวว่า ' พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก. ก็เมื่อเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรขึ้นไว้แล้วกล่าวว่า ' ถ้าว่า พระอรหันต์มีอยู่,จงมาทางอากาศแล้ว ถือเอาเถิด' วันนี้เป็นวันที่ ๗ แม้สักคนหนึ่งชื่อว่าเหาะขึ้นไปในอากาศด้วยแสดงตนว่า ' เราเป็นพระอรหันต์ ' ก็ไม่มี; วันนี้ พวกเรารู้ความที่พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว.
" ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า " อาวุโส ภารทวาชะ ท่านได้ยินถ้อยคำของพวกนักเลงเหล่านั้นไหม
" พวกนักเลงเหล่านี้ พูดเป็นทีว่าจะย่ำยีพระพุทธ-ศาสนา; ก็ท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก, ท่านจงไปเถิด จงมาทางอากาศแล้วถือเอาบาตรนั้น.
" ปิณโฑลภารทวาชะ.
อาวุโส โมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าบรรดา
สาวกผู้มีฤทธิ์ท่านจงถือเอาบาตรนั้น.
แต่เมื่อท่านไม่ถือเอา ผมจักถือเอา.
พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์
เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนั้นว่า " ท่านจงถือเอาเถิดผู้มีอายุ
" ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าจตุตถฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ออกแล้ว เอาปลายเท้าคีบหินดาดประมาณ ๑
คาวุต ให้ขึ้นไปในอากาศเหมือนปุยนุ่น
แล้วหมุนเวียนไปในเบื้องบนพระนครราชคฤห์ ๗ ครั้ง. หินดาดนั้นปรากฏดังฝาละมีสำหรับปิดพระนครไว้ประมาณ
๓ คาวุต. พวกชาวพระนครกลัว ร้องว่า " หินจะตกทับข้าพเจ้า
" จึงทำเครื่องกั้นมีกระด้งเป็นต้นไว้บนกระหม่อม แล้วซุกซ่อนในที่นั้น ๆ. ในวาระที่ ๗
พระ-เถระทำลายหินดาด แสดงตนแล้ว. มหาชนเห็นพระเถระแล้ว กล่าวว่า " ท่านปิณโฑลภารทวาชะผู้เจริญ ท่านจงจับหินของท่านไว้ให้มั่น, อย่าให้พวกข้าพเจ้าทั้งหมดพินาศเสียเลย.
" พระเถระเอาปลายเท้าเหวี่ยงหินทิ้งไป. แผ่นหินนั้นไปตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง. พระเถระได้ยืนอยู่ในที่สุดแห่งเรือนของเศรษฐี. เศรษฐีเห็นท่านแล้ว หมอบลงแล้ว กราบเรียนว่า " ลงเถิด
พระผู้เป็นเจ้า " นิมนต์พระเถระผู้ลงจากอากาศให้นั่งแล้ว. ให้นำบาตรลง กระทำให้เต็มด้วยวัตถุอันมีรสหวาน
๔ อย่างแล้ว ได้ถวายแก่พระเถระ. พระเถระรับบาตรแล้ว
บ่ายหน้าสู่วิหาร ไปแล้ว.
ลำดับนั้น ชนเหล่าใดที่อยู่ในป่าบ้าง
อยู่ในบ้านบ้าง
ไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระเถระ, ชนเหล่านั้นประชุมกันแล้ววิงวอนพระเถระว่า"
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงปาฏิหาริย์แม้แก่พวกผม " ดังนี้แล้ว
ก็พากันติดตามพระเถระไป. พระเถระนั้น แสดงปาฏิหาริย์แก่ชนเหล่านั้น ๆ
พลางได้ไปยังพระวิหารแล้ว.
พระศาสดาทรงห้ามไม่ให้ภิกษุทำปาฏิหาริย์
พระศาสดา ทรงสดับเสียงมหาชนที่ติดตามพระเถระนั้นอื้ออึงอยู่จึงตรัสถามว่า " อานนท์ นั่นเสียงใคร
" ทรงสดับว่า " พระเจ้าข้าพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปในอากาศแล้ว ถือเอาบาตรไม้จันทน์,นั่นเสียงในสำนักของท่าน "
จึงรับสั่งให้เรียกพระปิณโฑลภารทวาชะมาตรัสถามว่า " ได้ยินว่า
เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ " เมื่อท่านกราบทูลว่า" จริง พระเจ้าข้า "
จึงตรัสว่า " ภารทวาชะ ทำไม เธอจึงทำอย่างนั้น ? "ทรงติเตียนพระเถระ แล้วรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้น
ให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่แล้ว รับสั่งให้ประทานแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่อันบดผสมยาตาแล้วทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์.
ฝ่ายพวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ทราบว่า พระสมณโคดมให้ทำลาย บาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้ทำปาฏิหาริย์
" จึงเที่ยวบอกกันในถนนในพระนครว่า
" สาวกทั้งหลายของพระสมณโคดม ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.ถึงพระสมณโคดมก็จักรักษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเหมือนกัน.
บัดนี้ พวกเรา ได้โอกาสแล้ว " แล้วกล่าวว่า " พวกเรารักษาคุณของตน จึงไม่แสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตรไว้ในกาลก่อนเหล่าสาวกของพระสมณโคดมแสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตร.พระสมณโคดมรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่าสาวก
เพราะพระองค์เป็นบัณฑิต. บัดนี้ พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับพระ-สมณโคดมนั่นแล.
"
พระศาสดาทรงประสงค์จะทำปาฏิหาริย์
พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว เสด็จไปยังสำนักพระ-ศาสดา กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า ได้ทราบว่าพระองค์ทรงบัญญัติสิกขา-บทแก่เหล่าสาวก เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์เสียแล้วหรือ ? " พระศาสดา. ขอถวายพระพร มหาบพิตร.พระราชา. บัดนี้ พวกเดียรถีย์พากันกล่าวว่า ' พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับด้วยพระองค์.' บัดนี้ พระองค์จักทรงทำอย่างไร ?
พระศาสดา. เมื่อเดียรถีย์เหล่านั้นกระทำ
อาตมภาพก็จักกระทำมหาบพิตร. พระราชา. พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เเล้วมิใช่หรือ
?
พระศาสดา มหาบพิตร
อาตมภาพมิได้บัญญัติสิกขาบทเพื่อตน.สิกขาบทนั้นนั่นแล อาตมภาพบัญญัติไว้เพื่อสาวกทั้งหลาย.
พระราชา. สิกขาบท
เป็นอันชื่อว่าอันพระองค์ทรงบัญญัติในสาวก
ทั้งหลายอื่น เว้นพระองค์เสียหรือ ? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. มหาบพิตร ถ้าเช่นนั้น
อาตมภาพจักย้อนถามพระองค์นั่นแหละในเพราะเรื่องนี้, มหาบพิตร ก็พระอุทยานในแว่นแคว้นของพระองค์มีอยู่หรือ
? พระราชา. มี พระเจ้าข้า. พระศาสดา. มหาบพิตร
ถ้าว่ามหาชนพึงบริโภคผลไม้ เป็นต้นว่าผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์, พระองค์พึงทรงทำอย่างไร แก่เขา ?
พระราชา. พึงลงอาชญา พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ก็พระองค์ย่อมได้เพื่อเสวยหรือ
? พระราชา. พระเจ้าข้า อาชญาไม่มีแก่หม่อมฉัน, หม่อมฉันย่อมได้เพื่อเสวยของ
ๆ ตน.
พระศาสดา. มหาบพิตร อาชญาแม้ของอาตมภาพย่อมแผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล เหมือนอาชญาของพระองค์ที่แผ่ไปในแว่นแคว้นประ-มาณ
๓๐๐ โยชน์. อาชญาไม่มีแก่พระองค์ผู้เสวยผลไม้ทั้งหลาย เป็นต้นว่าผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์. แต่มีอยู่แก่ชนเหล่าอื่น. ขึ้นชื่อว่าการก้าวล่วงบัญญัติ
คือ สิกขาบท ย่อมไม่มีแก่ตน, แต่ย่อมมีแก่สาวกเหล่าอื่น, อาตมภาพจึงจักทำปาฏิหาริย์.
พวกเดียรถีย์ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว
ปรึกษากันว่า
" บัดนี้
พวกเราฉิบหายแล้ว.
ได้ยินว่า พระสมณโคดมทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อเหล่าสาวกเท่านั้น, ไม่ทรงบัญญัติไว้เพื่อตน; ได้ยินว่า
ท่านปรารถนาจะทำปาฏิหาริย์เองทีเดียว;
พวกเราจักทำอย่างไรกันเล่า ? พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า " เมื่อไร พระองค์จักทรงทำปาฏิหาริย์ ? พระเจ้าข้า. "ระศาสดา. มหาบพิตร โดยล่วงไปอีก ๔ เดือน ต่อจากนี้ไป
วันเพ็ญเดือน ๘ จักทำ. พระราชา. พระองค์จักทรงทำที่ไหน ? พระเจ้าข้า. พระศาสดา. อาตมภาพจักอาศัยเมืองสาวัตถีทำ
มหาบพิตร. มีคำถามสอดเข้ามาว่า " ก็ทำไม พระศาสดาจึงอ้างที่ไกลอย่างนี้ ?
"
แก้ว่า " เพราะที่นั้นเป็นสถานที่ทำมหาปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ๆ พระองค์; อีกอย่างหนึ่ง พระองค์อ้างที่ไกลทีเดียว แม้เพื่อประโยชน์จะให้มหาชนประชุมกัน
."พวกเดียรถีย์ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว กล่าวว่า " ได้ยินว่า ต่อจากนี้ โดยล่วงไป ๔ เดือน พระสมณโคดมจักทำปาฏิหาริย์ ณ เมืองสาวัตถี.บัดนี้ พวกเราไม่ละเทียว จักติดตามพระองค์ไป. มหาชนเห็นพวกเราแล้ว จักถามว่า " นี่อะไรกัน ?
" ทีนั้นพวกเราจักบอกแก่เขาว่า " พวกเราพูดไว้เเล้วว่า ่จักทำปาฏิหาริย์กับพระสมณโคดม.' พระสมณโคดมนั้นย่อมหนีไป,
พวกเราไม่ให้พระสมณโคดมนั้นหนีจึงติดตามไป. " พระ-ศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ออกมาแล้ว. ถึงพวกเดียรถีย์ก็ออกมาข้างหลังของพระองค์นั่นแล อยู่ใกล้ที่ ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำภัตกิจ. ในวันรุ่งขึ้นพวกเดียรถีย์บริโภคอาหารเช้าในที่ ๆ ตนอยู่แล้ว.
เดียรถีย์เหล่านั้น ถูกพวกมนุษย์ถามว่า "
นี่อะไรกัน ? "
จึงบอกโดยนัยแห่งคำที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. ฝ่ายมหาชนคิดว่า " พวกเราจักดูปาฏิหาริย์ ดังนี้แล้วได้ติดตามไป. พระศาสดาบรรลุถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น