วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องยมกปาฏิหารย์ ตอนที่ 2


ชาวกรุงเข้าใจว่าไม่มีพระอรหันต์

         ในวันที่ ๗ ในกาลที่ท่านพระมหาโมคคัลลานะและท่านพระปิณโฑล-ภารทวาชะไปยืนบนหินดาดแห่งหนึ่งแล้วห่มจีวร  ด้วยตั้งใจว่า " จักเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์    พวกนักเลงคุยกันว่า " ชาวเราเอ๋ย ในกาลก่อน ครูทั้ง ๖ กล่าวว่า ' พวกเราเป็นพระอรหันต์ในโลก.  ก็เมื่อเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์ให้ยกบาตรขึ้นไว้แล้วกล่าวว่า  ' ถ้าว่า  พระอรหันต์มีอยู่,จงมาทางอากาศแล้ว   ถือเอาเถิดวันนี้เป็นวันที่ ๗    แม้สักคนหนึ่งชื่อว่าเหาะขึ้นไปในอากาศด้วยแสดงตนว่า ' เราเป็นพระอรหันต์ ' ก็ไม่มี;   วันนี้ พวกเรารู้ความที่พระอรหันต์ไม่มีในโลกแล้ว. "  ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ยินถ้อยคำนั้นแล้ว       จึงกล่าวกะท่าน
พระปิณโฑลภารทวาชะว่า  " อาวุโส   ภารทวาชะ  ท่านได้ยินถ้อยคำของพวกนักเลงเหล่านั้นไหม "  พวกนักเลงเหล่านี้   พูดเป็นทีว่าจะย่ำยีพระพุทธ-ศาสนาก็ท่านมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากท่านจงไปเถิด  จงมาทางอากาศแล้วถือเอาบาตรนั้น. "  ปิณโฑลภารทวาชะ. อาวุโส โมคคัลลานะ ท่านเป็นผู้เลิศกว่าบรรดา
สาวกผู้มีฤทธิ์ท่านจงถือเอาบาตรนั้น. แต่เมื่อท่านไม่ถือเอา ผมจักถือเอา.                
พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์
         เมื่อพระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนั้นว่า    " ท่านจงถือเอาเถิดผู้มีอายุ "   ท่านปิณโฑลภารทวาชะก็เข้าจตุตถฌาน  มีอภิญญาเป็นบาท  ออกแล้ว  เอาปลายเท้าคีบหินดาดประมาณ ๑ คาวุต ให้ขึ้นไปในอากาศเหมือนปุยนุ่น  แล้วหมุนเวียนไปในเบื้องบนพระนครราชคฤห์ ๗ ครั้ง.  หินดาดนั้นปรากฏดังฝาละมีสำหรับปิดพระนครไว้ประมาณ ๓ คาวุต.     พวกชาวพระนครกลัว   ร้องว่า  " หินจะตกทับข้าพเจ้า "  จึงทำเครื่องกั้นมีกระด้งเป็นต้นไว้บนกระหม่อม    แล้วซุกซ่อนในที่นั้น ๆ.    ในวาระที่ ๗ พระ-เถระทำลายหินดาด   แสดงตนแล้ว.  มหาชนเห็นพระเถระแล้ว      กล่าวว่า  " ท่านปิณโฑลภารทวาชะผู้เจริญ ท่านจงจับหินของท่านไว้ให้มั่น,    อย่าให้พวกข้าพเจ้าทั้งหมดพินาศเสียเลย. "   พระเถระเอาปลายเท้าเหวี่ยงหินทิ้งไป.     แผ่นหินนั้นไปตั้งอยู่ในที่เดิมนั่นเอง.  พระเถระได้ยืนอยู่ในที่สุดแห่งเรือนของเศรษฐี.  เศรษฐีเห็นท่านแล้ว  หมอบลงแล้ว  กราบเรียนว่า " ลงเถิด พระผู้เป็นเจ้า "  นิมนต์พระเถระผู้ลงจากอากาศให้นั่งแล้ว.  ให้นำบาตรลง  กระทำให้เต็มด้วยวัตถุอันมีรสหวาน ๔ อย่างแล้ว  ได้ถวายแก่พระเถระ.  พระเถระรับบาตรแล้ว
บ่ายหน้าสู่วิหาร  ไปแล้ว.
       ลำดับนั้น    ชนเหล่าใดที่อยู่ในป่าบ้าง    อยู่ในบ้านบ้าง    ไม่เห็นปาฏิหาริย์ของพระเถระ, ชนเหล่านั้นประชุมกันแล้ววิงวอนพระเถระว่า" ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  ขอท่านจงแสดงปาฏิหาริย์แม้แก่พวกผม "  ดังนี้แล้ว
ก็พากันติดตามพระเถระไป.    พระเถระนั้น     แสดงปาฏิหาริย์แก่ชนเหล่านั้น ๆ  พลางได้ไปยังพระวิหารแล้ว.         
พระศาสดาทรงห้ามไม่ให้ภิกษุทำปาฏิหาริย์
         พระศาสดา     ทรงสดับเสียงมหาชนที่ติดตามพระเถระนั้นอื้ออึงอยู่จึงตรัสถามว่า   " อานนท์ นั่นเสียงใคร "    ทรงสดับว่า  " พระเจ้าข้าพระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นไปในอากาศแล้ว     ถือเอาบาตรไม้จันทน์,นั่นเสียงในสำนักของท่าน "    จึงรับสั่งให้เรียกพระปิณโฑลภารทวาชะมาตรัสถามว่า  " ได้ยินว่า เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ "   เมื่อท่านกราบทูลว่า" จริง พระเจ้าข้า " จึงตรัสว่า " ภารทวาชะ ทำไม เธอจึงทำอย่างนั้น ? "ทรงติเตียนพระเถระ  แล้วรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้น ให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่แล้ว  รับสั่งให้ประทานแก่ภิกษุทั้งหลาย  เพื่อประโยชน์แก่อันบดผสมยาตาแล้วทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลาย     เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์. ฝ่ายพวกเดียรถีย์ได้ยินว่า " ทราบว่า พระสมณโคดมให้ทำลาย บาตรนั้นแล้ว  ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลาย   เพื่อต้องการมิให้ทำปาฏิหาริย์ " จึงเที่ยวบอกกันในถนนในพระนครว่า  "  สาวกทั้งหลายของพระสมณโคดม    ไม่ก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแม้เพราะเหตุแห่งชีวิต.ถึงพระสมณโคดมก็จักรักษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเหมือนกัน.   
 บัดนี้ พวกเรา   ได้โอกาสแล้ว "   แล้วกล่าวว่า  " พวกเรารักษาคุณของตน   จึงไม่แสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตรไว้ในกาลก่อนเหล่าสาวกของพระสมณโคดมแสดงคุณของตนแก่มหาชนเพราะเหตุแห่งบาตร.พระสมณโคดมรับสั่งให้ทำลายบาตรนั้นแล้ว   ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่เหล่าสาวก เพราะพระองค์เป็นบัณฑิต.  บัดนี้  พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับพระ-สมณโคดมนั่นแล. "                                                             
พระศาสดาทรงประสงค์จะทำปาฏิหาริย์
         พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว       เสด็จไปยังสำนักพระ-ศาสดา   กราบทูลว่า  " พระเจ้าข้า  ได้ทราบว่าพระองค์ทรงบัญญัติสิกขา-บทแก่เหล่าสาวก   เพื่อต้องการไม่ให้ทำปาฏิหาริย์เสียแล้วหรือ ? "  พระศาสดา.  ขอถวายพระพร  มหาบพิตร.พระราชา.    บัดนี้     พวกเดียรถีย์พากันกล่าวว่า    ' พวกเราจักทำปาฏิหาริย์กับด้วยพระองค์.บัดนี้   พระองค์จักทรงทำอย่างไร ? พระศาสดา.    เมื่อเดียรถีย์เหล่านั้นกระทำ    อาตมภาพก็จักกระทำมหาบพิตร. พระราชา.  พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้เเล้วมิใช่หรือ ?
         พระศาสดา    มหาบพิตร อาตมภาพมิได้บัญญัติสิกขาบทเพื่อตน.สิกขาบทนั้นนั่นแล  อาตมภาพบัญญัติไว้เพื่อสาวกทั้งหลาย. พระราชา.  สิกขาบท เป็นอันชื่อว่าอันพระองค์ทรงบัญญัติในสาวก
ทั้งหลายอื่น  เว้นพระองค์เสียหรือ พระเจ้าข้า.
         พระศาสดา.  มหาบพิตร  ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจักย้อนถามพระองค์นั่นแหละในเพราะเรื่องนี้,    มหาบพิตร   ก็พระอุทยานในแว่นแคว้นของพระองค์มีอยู่หรือ ? พระราชา.  มี   พระเจ้าข้า.         พระศาสดา.   มหาบพิตร ถ้าว่ามหาชนพึงบริโภคผลไม้  เป็นต้นว่าผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์พระองค์พึงทรงทำอย่างไร แก่เขา ? พระราชา.   พึงลงอาชญา  พระเจ้าข้า. พระศาสดา.  ก็พระองค์ย่อมได้เพื่อเสวยหรือ พระราชา.  พระเจ้าข้า   อาชญาไม่มีแก่หม่อมฉัน,     หม่อมฉันย่อมได้เพื่อเสวยของ ๆ ตน.
         พระศาสดา.    มหาบพิตร    อาชญาแม้ของอาตมภาพย่อมแผ่ไปในแสนโกฏิจักรวาล   เหมือนอาชญาของพระองค์ที่แผ่ไปในแว่นแคว้นประ-มาณ ๓๐๐ โยชน์.   อาชญาไม่มีแก่พระองค์ผู้เสวยผลไม้ทั้งหลาย    เป็นต้นว่าผลมะม่วงในพระอุทยานของพระองค์.  แต่มีอยู่แก่ชนเหล่าอื่น.    ขึ้นชื่อว่าการก้าวล่วงบัญญัติ คือ สิกขาบท    ย่อมไม่มีแก่ตน,     แต่ย่อมมีแก่สาวกเหล่าอื่น,   อาตมภาพจึงจักทำปาฏิหาริย์.
         พวกเดียรถีย์ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว  ปรึกษากันว่า    " บัดนี้    พวกเราฉิบหายแล้ว.   ได้ยินว่า  พระสมณโคดมทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อเหล่าสาวกเท่านั้น, ไม่ทรงบัญญัติไว้เพื่อตน; ได้ยินว่า ท่านปรารถนาจะทำปาฏิหาริย์เองทีเดียวพวกเราจักทำอย่างไรกันเล่า ?   พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า  " เมื่อไร  พระองค์จักทรงทำปาฏิหาริย์ พระเจ้าข้า. "ระศาสดา.   มหาบพิตร   โดยล่วงไปอีก ๔ เดือน    ต่อจากนี้ไป
วันเพ็ญเดือน ๘ จักทำ. พระราชา.  พระองค์จักทรงทำที่ไหน พระเจ้าข้า. พระศาสดา.   อาตมภาพจักอาศัยเมืองสาวัตถีทำ  มหาบพิตร. มีคำถามสอดเข้ามาว่า   " ก็ทำไม  พระศาสดาจึงอ้างที่ไกลอย่างนี้ ? "
         แก้ว่า   " เพราะที่นั้นเป็นสถานที่ทำมหาปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า ๆ พระองค์;    อีกอย่างหนึ่ง     พระองค์อ้างที่ไกลทีเดียว     แม้เพื่อประโยชน์จะให้มหาชนประชุมกัน ."พวกเดียรถีย์ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว    กล่าวว่า  " ได้ยินว่า    ต่อจากนี้ โดยล่วงไป ๔ เดือน       พระสมณโคดมจักทำปาฏิหาริย์ ณ เมืองสาวัตถี.บัดนี้    พวกเราไม่ละเทียว   จักติดตามพระองค์ไป.   มหาชนเห็นพวกเราแล้ว  จักถามว่า " นี่อะไรกัน ? " ทีนั้นพวกเราจักบอกแก่เขาว่า   " พวกเราพูดไว้เเล้วว่า    ่จักทำปาฏิหาริย์กับพระสมณโคดม.'     พระสมณโคดมนั้นย่อมหนีไป, พวกเราไม่ให้พระสมณโคดมนั้นหนีจึงติดตามไป. "   พระ-ศาสดาเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ออกมาแล้ว.  ถึงพวกเดียรถีย์ก็ออกมาข้างหลังของพระองค์นั่นแล  อยู่ใกล้ที่ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำภัตกิจ.    ในวันรุ่งขึ้นพวกเดียรถีย์บริโภคอาหารเช้าในที่ ๆ ตนอยู่แล้ว.
เดียรถีย์เหล่านั้น  ถูกพวกมนุษย์ถามว่า  " นี่อะไรกัน ? "   จึงบอกโดยนัยแห่งคำที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.    ฝ่ายมหาชนคิดว่า    " พวกเราจักดูปาฏิหาริย์  ดังนี้แล้วได้ติดตามไป.  พระศาสดาบรรลุถึงพระนครสาวัตถีโดยลำดับ.       

             

0 ความคิดเห็น:

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More